© copyright Lamaithailand 2003 All Rights Reserved บริษัท ละไม (ไทยแลนด์) จำกัด 299/783 สุขาภิบาล 5 แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพฯ 10220 โทร. 086-970-8319, 081-988-3531, 095-163-6592 E-mail : info@lamaithailand.com |
เวียดนาม ตอนที่ 2 " ซินจ่าว " ครับท่านผู้อ่าน ผมมาอยู่เวียดนามสองวันแล้ว ก็พยายามทักทายผู้คนด้วยคำว่า " ซินจ่าว " เป็นภาษาเวียดนาม แปลว่า " สวัสดี " ยังไงก็ต้องถือสุภาษิตที่ว่า " เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม " เมื่อตอนที่แล้ว ผมได้เดินทางจากฮาลองกลับมายังฮานอยอีกครั้งมาถึงก็สัก 4 5 โมงเย็นพอดี จึงยังพอมีเวลาเดินเล่นอยู่กลางกรุงฮานอยได้อีก เพราะโปรแกรมต่อจากนี้ หลังอาหารค่ำแล้ว ผมจะไปชมการแสดงเชิดหุ่นกระบอกน้ำ หรือ Water Puppet Show ฮานอย บ้างก็เรียกว่าเป็น เมืองแห่งสันติสุข City of Peace เวียดนามอยู่ใกล้กับจีน และเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมากว่า 90 ปี จนซึมซับวัฒนธรรมบางส่วนมาด้วยโดยเฉพาะทางด้านสถาปัตยกรรม สังเกตเห็นตึกรามบ้านช่องที่นี่จะมีทั้งสามรูปแบบ คือ แบบฝรั่งเศส, จีน, และเวียดนาม บ้านที่อยู่ติดถนนใหญ่ก็เอาไว้ค้าขายลักษณะจะเป็นตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์เหมือนบ้านเรา แต่ที่ดูแปลกตาคือ อยู่ตึกแถวเดียวกันแท้ ๆ แต่บางบ้านก็ปลูกชั้นเดียว, 2 ชั้นบ้าง, 3 ชั้นบ้าง บ้านไหนที่ปลูก 3 ชั้นสูงกว่าเขาเพื่อนก็จะเห็นว่าเขาทาสีแต่เฉพาะด้านหน้าของตัวตึก ส่วนด้านข้างไม่ได้ทาสีปล่อยให้เห็นสีของปูนซะงั้น เพราะเขาคิดว่าด้านหน้าบ้านให้สวยเข้าไว้ ส่วนด้านข้างไม่เป็นไร แล้วอีกอย่างถ้าทาสีหมดทั้งบ้านก็เท่ากับว่าบ้านหลังนั้นสร้างเสร็จแล้วก็จะเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ
แต่สิ่งที่น่าจะถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของใจกลางกรุงฮานอยเลย คือ สภาพท้องถนนที่มีรถราวิ่งกันขวักไขว่ โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ ผมว่ามีเยอะยิ่งกว่าบ้านเราเสียอีก เคยมีคนสำรวจสถิติบอกว่า คน 1 คนมีรถมอเตอร์ไซค์ถึง 1 คันครึ่ง รวมทั้งเสียงบีบแตรรถ ซึ่งมีให้ฟังกันทั้งวันและทุกวัน ดังนั้น เวลานักท่องเที่ยวเดินข้ามถนนล่ะก้อ ต้องระวังและตั้งสติให้ดีครับ เพราะรถที่นี่เขาไม่ได้หยุดให้คนข้าม คนจะข้ามถนนก็ข้ามไป ส่วนรถก็วิ่งกันไป คนข้ามต้องคอยดูจังหวะในการข้ามถนนเอาเองครับ แต่ข้อสำคัญที่ไกด์สาวของเราบอกก็คือ เวลาข้ามถนน อย่าทำยึกยัก ลังเล เดี๋ยวเดินหน้า เดี๋ยวถอยหลัง อย่างนี้ไม่ได้ครับ มันอันตราย ควรเดินหน้าอย่างเดียว เพียงแต่ดูจังหวะให้ดี รถเขารู้ว่าเราจะข้ามถนน เขาก็จะชะลอความเร็วลงให้ เพราะฉะนั้น เวลาข้ามถนนที่ฮานอย ต้องพกความมั่นใจใส่กระเป๋ามาด้วยครับ ที่พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ทางคณะเขาจัดให้พวกผมได้นั่งรถสามล้อถีบ หรือ ซิโคล่ เพื่อชมตึกรามบ้านช่อง ตัวเมืองฮานอย เป็นอีกบรรยากาศหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวครับ
สามล้อพาผมไปถนนหลาย ๆ สาย ผ่านห้างสรรพสินค้า ผ่านย่านเมืองเก่าถนน 36 สาย ซึ่งเป็นถนนช้อปปิ้งสินค้าต่าง ๆ มากมายหลายชนิด ทั้งรองเท้า เสื้อผ้า ของที่ระลึก ฯลฯ พาไปชมโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในฮานอย และสามล้อก็ไปส่งผมที่ จุด Countdown 1,000 ปี หมายถึง เมืองหลวงฮานอย อีก 2 ปีก็จะมีอายุครบ 1,000 ปี และจุด Countdown ตรงนี้ก็มีป้ายไฟที่บอกว่าเหลืออีกกี่วันจะครบ 1,000 ปี ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปเป็นอย่างมาก
จากจุด Countdown ผมเดินไปที่บริเวณทะเลสาบคืนดาบ (Sward Lake) หรือ ทะเลสาบโฮอันเกียม ชื่อนี้มีที่มาจากตำนานว่า พระเจ้าหลีไทโต แห่งราชวงศ์เล ผู้ก่อตั้งกรุงฮานอยเป็นราชธานี ได้ดาบวิเศษมาจากเต่าตัวหนึ่ง พระองค์นำดาบนั้นเป็นอาวุธในการต่อสู้กับกองทัพจีนแล้วได้ชัยชนะ จึงได้รับอิสรภาพจากการปกครองของจีน แล้วพระองค์ได้นั่งเรือไปในทะเลสาบเพื่อคืนดาบให้กับเต่าตัวนั้น และเต่าก็มาคาบดาบคืนไปจากพระองค์แล้วกลับหายไปในทะเลสาบ ซึ่งที่นี่ชาวเวียดนามมักจะมาเดินเล่นเพื่อออกกำลังกาย นั่งพักผ่อน เพราะมีภูมิทัศน์ที่สวยงาม มีสะพานไม้สีแดงสดที่ทอดยาวข้ามไปยังเกาะหยก สะพานไม้แห่งนี้ที่เรามักจะเห็นอยู่ตามรูปภาพ หรือ โปสการ์ดต่าง ๆ นั่นแหละครับ แล้วผมก็ได้เข้าไปนมัสการสิ่งศักดิ์ภายในวัดหง็อกเซิน ซึ่งเป็นวัดโบราณเก่าแก่ และมีเต่าขนาดยักษ์ที่ถูกสต๊าฟเอาไว้อายุกว่าพันปี ที่ชาวเวียดนามถือว่านี่แหละคือเต่าศักดิ์สิทธิ์
ผมใช้เวลาอยู่กลางกรุงฮานอยมาพอสมควรแล้วครับ ได้เวลานัดหมายเพื่อไปรับประทานอาหารค่ำกันแล้ว หลังอาหาร พวกผมก็จะไปชม การแสดงเชิดหุ่นกระบอกน้ำ (Water Puppet Show) ของคณะ Thang Long ซึ่งเป็นคณะเก่าแก่และมีชื่อเสียงมาก การแสดงเริ่มต้นด้วยการเล่นดนตรีพื้นเมือง และเดี่ยวพิณสายเดียว บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวเวียดนาม ทำเกษตรกรรม ทำการประมง และวัฒนธรรมประเพณี ไปจนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์มงคล 4 ชนิด ได้แก่ เต่า, มังกร, กิเลน, หงส์
การเชิดหุ่นกระบอกน้ำมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชี ในอดีต ยามว่างจากการทำนาหรือทำประมง ชาวบ้านจะมาเชิดหุ่นกระบอกน้ำกันที่แม่น้ำแดง ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของฮานอย ผู้เชิดหุ่นกระบอกน้ำจะแช่ตัวอยู่ในน้ำแล้วเชิดหุ่นกระบอกตามจังหวะเพลง ซึ่งหุ่นบางตัวมีน้ำหนักกว่า 10 กิโลกรัม และผู้เชิดแต่ละคนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จึงมีลีลาการเชิดทั้งหุ่นคนและสัตว์ได้งดงามพลิ้วไหวราวกับหุ่นมีชีวิต และยังสอดแทรกแก๊กตลกขำขันอีกด้วย ซึ่งได้รับเสียงปรบมือชื่นชมจากคนดูอย่างกึกก้อง หลังจากจบการแสดงแล้ว ทุกคนเดินอมยิ้มออกมาด้วยความอิ่มเอม และมีความสุข
เช้าวันที่สามของผม มีโปรแกรมเดินทางไปเมืองนิงห์บิงห์ ระยะทาง 180 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงจากฮานอย ในอดีตเป็นที่ตั้งเมืองหลวงในราชวงศ์ดินห์ ชาวเมืองนิงห์บิงห์มีฐานะค่อนข้างยากจน การท่องเที่ยวของเมืองนี้ คือ การล่องเรือกระจาด ลักษณะเหมือนเรือหางยาว นักท่องเที่ยวนั่งได้ลำละ 2 คน มีคนพายเรือ 2 คน รวมเป็น 4 คนต่อลำ เส้นทางการล่องเรือชมทัศนียภาพของทุ่งนาข้าวเขียวขจี ภูเขาหินที่เรียงรายสุดสายตา จนได้รับการกล่าวขานว่า ที่นี่คือ " ฮาลองบก " มื้อกลางวัน ต้องแนะนำให้ลองลิ้มชิมเมนู แพะภูเขา นับเป็นอาหารจานเด็ดของที่นี่ วิธีรับประทานเขาจะมีแผ่นแป้งบาง ๆ ใส ๆ เหมือนแผ่นปอเปียะ แล้วตักเนื้อแพะภูเขาที่ผัดปรุงรสมาแล้วเรียบร้อย ผักสดเป็นเครื่องเคียง ห่อแผ่นปอเปียะ แล้วลำเลียงเข้าปากรับประทาน อืม ! เนื้อแพะอร่อยนุ่มลิ้นได้ใจจริง ๆ ครับ มีผักสดและแผ่นแป้งมาประกอบกันทำให้รสชาดกำลังดี ไม่เลี่ยน และที่สำคัญไม่มีกลิ่นสาบด้วยครับ ซึ่งระหว่างทางล่องเรือ คนพายเรือยังชี้ให้ผมดูแพะภูเขาเลย ผมเห็นอยู่ 2 ตัว อาศัยอยู่บนหน้าผาของภูเขา นี่ดีนะครับที่เขาพาผมไปทานมื้อกลางวันก่อน แล้วค่อยมาล่องเรือ ไม่อย่างนั้น ผมคงทานแพะภูเขาไม่ลงแน่ ๆ บ่ายแก่ ๆ ผมออกจากนิงห์บิงห์กลับมายังฮานอย รับประทานอาหารค่ำ แล้วไปสนามบินเพื่อเดินทางกลับยังกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรที่รักของผม เป็นอันว่า ทริป 3 วัน 2 คืนในเวียดนามของผมเสร็จสิ้นแล้วครับ แต่ที่ติดใจอีกอย่างหนึ่งที่ผมยังไม่ได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง คือ สับปะรด ครับ ซึ่งมีรสชาติหอม หวาน กรอบอร่อยมาก เรียกว่า พันธุ์น้ำผึ้ง ผลขนาดเล็กนิดเดียว เวลารับประทานเขาจะปอกเปลือกออกแล้วเหลือแกนเอาไว้สำหรับจับแล้วรับประทานเลย เหมือนทานอ้อยควั่นอย่างนั้นเลยครับ ไม่เหมือนของบ้านเราสับปะรดจะผลใหญ่กว่า เวลารับประทานจะปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ พอคำ สับปะรดที่นี่เขาขาย 4 ผล (ปอกเปลือก ใส่ถุงก๊อบแก๊บ แล้วผูกหูถุงไว้) ราคา 20,000 ด่อง หรือประมาณ 50 บาท หากท่านไปเวียดนามเมื่อใด อย่าลืมแวะชิมสับปะรดพันธุ์น้ำผึ้ง นะครับ รับรองว่าจะติดใจเหมือนผมครับ
พบกันใหม่โอกาสหน้า ขอบคุณและสวัสดีครับ.... เรื่อง / ภาพ โดย ละไมไทยแลนด์ดอทคอม |