© copyright Lamaithailand 2003 All Rights Reserved บริษัท ละไม (ไทยแลนด์) จำกัด 299/783 สุขาภิบาล 5 แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพฯ 10220 โทร. 086-970-8319, 081-988-3531, 095-163-6592 E-mail : info@lamaithailand.com |
ปายแห่งเมืองสามหมอก ...มนต์เสน่ห์ปลายฝนต้นหนาว ตอนที่ 2 สวัสดีครับ ท่านผู้อ่าน เมื่อคราวที่แล้วผมเล่าค้างเอาไว้ถึงตอนที่ คณะของเราพักอยู่ที่แม่ฮ่องสอน และเช้าวันนี้จุดหมายปลายทางของเราคือ “ อำเภอปาย ” เราใช้เส้นทางหมายเลข 1095 จากแม่ฮ่องสอน ผ่านปางมะผ้า ปาย ไปจนถึงแม่แตง แล้วเข้าสู่เชียงใหม่ ด้วยระยะทางที่สั้นกว่าเพียง 245 กิโลเมตร แต่ความตื่นเต้นขอบอกว่าไม่แพ้กับขามาเลยครับ บนถนนหนทางอันคดโค้งสูง ๆ ต่ำ ๆ ตามแต่ลักษณะภูเขาจะพาไปนั้นเราได้ผ่านจุดชมวิวหลายแห่ง ป่าไม้แน่นขนัด ขุนเขาสูงเสียดฟ้าที่ทะลุไปถึงเมฆหมอก ทำให้เรารู้ว่านี่แหละคือสิ่งที่คนเมืองอย่างพวกเรากำลังตามหาอยู่ ก่อนอำลาเมืองแม่ฮ่องสอน พวกเราขึ้นไปกราบพระธาตุดอยกองมู ไหน ๆ ก็มาถึงที่แล้ว พระธาตุดอยกองมูประกอบด้วยพระธาตุองค์เล็ก 1 องค์ องค์ใหญ่ 1 องค์ ถือเป็นพระธาตุสำคัญคู่บ้านคู่เมืองมาช้านานจนแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองแม่ฮ่องสอนไปแล้ว ทางขึ้นไม่สูงชันมากเป็นถนนลาดยางอย่างดี ระหว่างทางจะผ่านอนุสาวรีย์พญาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก และท่านเป็นผู้สร้างพระธาตุองค์เล็ก ส่วนพระธาตุองค์ใหญ่สร้างโดย จองต่องสู่ บนยอดดอยกองมู ยังเป็นจุดชมวิวของเมืองแห่งหมอกสามฤดูแบบเต็ม ๆ อีกด้วย ยิ่งถ้ามาช่วงเช้าตรู่ ก็จะมีวิวทะเลหมอกให้เราถ่ายรูปไปอวดเพื่อน ๆ ที่ออฟฟิศให้อิจฉากันเล่น ๆ ฮิ..ฮิ.. วัดวาอารามของที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะแบบไทยใหญ่ ซึ่งจะดูแปลกตาไปจากวัดที่มีศิลปะแบบล้านนาที่เราคุ้นเคยกัน อย่างวัดจองคำ ที่มีอายุกว่าสองร้อยปี ชัดเจนด้วยศิลปกรรมไทยใหญ่ เหตุที่ชื่อว่า วัดจองคำ ก็เนื่องมาจากมีการประดับประดาด้วยการปิดทองคำที่เสาวัดจนเหลืองอร่ามเหมือนเสาทองคำ อีกวัดหนึ่งชื่อ วัดจองกลาง ความแปลกก็คือ สองวัดนี้ตั้งอยู่ติดกันโดยไม่มีรั้วกั้น วิหารภายในวัดจองกลางเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์จำลองที่ปิดทองเหลืองอร่ามไปทั่วองค์ ที่น่าสนใจภายในวัดคือ มีการจัดแสดงตุ๊กตาไม้จำนวน 33 ตัว แกะสลักโดยฝีมือช่างชาวพม่า มีทั้งรูปคนและสัตว์เกี่ยวกับเรื่องราวของพระเวสสันดรชาดก และยังมีองค์เจดีย์ หรือที่ชาวไทยใหญ่เรียกว่า กองมู เป็นรูปทรงจุฬามณี สูง 32 ศอก สร้างโดยช่างชาวไทยใหญ่ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนด้านหน้าวัดเป็นสวนสาธารณะหนองจองคำ หนองน้ำกลางเมืองที่เกิดตามธรรมชาติ บรรยากาศสงบร่มรื่น ตอนเย็นบริเวณนี้จะกลายสภาพเป็นถนนคนเดิน สินค้าส่วนใหญ่เป็นพวกสินค้าพื้นเมือง ผ้าทอพื้นเมือง สินค้าชาวเขา กระเป๋า เครื่องประดับเก๋ ๆ สไตล์ชาวเขา พ่อค้าแม่ขายจะมาตั้งแผงขายสินค้าเรียงราย เริ่มกันตั้งแต่หน้าธนาคารออมสินเรื่อยไปจนถึงริมหนองจองคำ
ออกจากเมืองแม่ฮ่องสอนมาสัก 77 กิโลเมตร มาตามเส้นทางสายปางมะผ้า-ปาย ชาวบ้านเล่ากันว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว มีฝรั่งคนหนึ่งชื่อจอห์นกับชาวบ้านได้ค้นพบถ้ำโบราณแห่งหนึ่ง พบหลักฐานทางโบราณคดีที่สันนิษฐานว่ามีอายุกว่า 2,000 ปี และ มีลำห้วยไหลผ่านถ้ำลอดภูเขาไปอีกด้านหนึ่ง ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า ถ้ำลอด หรือ ถ้ำน้ำลอด ปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen in Thailand ของอ.ปางมะผ้าอีกด้วย ด้วยความที่ภายในถ้ำนั้นมืดสนิท ไม่มีปล่องหรือโพรงถ้ำ และทางการเขาก็ไม่ได้ติดตั้งไฟนีออนหรือสร้างบันไดเหล็กเหมือนถ้ำอื่น ๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งสภาพตามธรรมชาติภายในถ้ำ จุดนี้ผมว่าโดนใจนักท่องเที่ยวไปเต็ม ๆ การเที่ยวชมถ้ำแห่งนี้จึงต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางพร้อมกับตะเกียงเจ้าพายุคอยส่องสว่างทางเดิน ภายในถ้ำแบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ “ ถ้ำเสาหินหลวง ” “ ถ้ำตุ๊กตา ” และ “ ถ้ำผีแมน ” เป็นถ้ำสุดท้ายของถ้ำลอด ซึ่งต้องนั่งแพไม้ไผ่เข้าไป นอกจากความสวยงามของหินงอกหินย้อยรูปร่างต่าง ๆ แล้ว ยังพบภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เศษภาชนะดินเผา โครงกระดูกมนุษย์ และโลงที่มีลักษณะเป็นท่อนไม้ตรงกลางเจาะเป็นร่องคล้ายเรือ ที่เรียกว่า “ โลงผีแมน ”
เส้นทางสายปางมะผ้า-ปายนี้เป็นเส้นทางที่อยู่ในอ้อมกอดแห่งขุนเขา บางช่วงเป็นโค้งหักศอก มีจุดชมวิวหลายแห่งให้พวกเราแวะลงไปถ่ายรูป และได้ยืดเส้นยืดสายไปด้วยในตัว ทั้งจุดชมวิวบ้านลุกข้าวหลาม จุดชมวิวกิ่วลม ซึ่งเราจะได้เห็นภาพวิวทะเลภูเขาอันซับซ้อน ตัดกับปุยเมฆหมอกสีขาวที่ลอยต่ำ ๆ สลับฉากกับสีเขียว ๆ ของป่าไม้ ทำให้ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางผ่านเส้นทางกว่าพันโค้งนี้เลย
ก่อนเข้าเมืองปายพวกเราแวะที่ วัดน้ำฮู เพื่อกราบสักการะหลวงพ่ออุ่นเมือง เป็นพระพุทธรูปสิงห์สามปางมารวิชัยอายุกว่า 500 ปี สร้างด้วยโลหะทองสัมฤทธิ์ ความน่าอัศจรรย์ใจของพระพุทธรูปองค์นี้คือ พระเศียรกลวง ส่วนบนเปิดปิดได้ มีน้ำขังอยู่ตลอดเวลา เชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทางวัดนำมาทำเป็นน้ำมนต์เพื่อให้ประชาชนนำกลับไปบูชาที่บ้านได้เพื่อความเป็นสิริมงคล
คืนนี้เราพักกันที่ ปายบ้านไทยรีสอร์ท แต่ตอนนี้ขอเข้าที่พักก่อนดีกว่าเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังอาหารค่ำพวกเราจะไปเดินท้าลมหนาวกันที่ ถนนคนเดินเมืองปาย ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการอันแสนไพเราะเพราะพริ้งว่า “ ถนนรังสิยานนท์ ” กะว่าจะไปช้อปกันให้กระจายเลย เพราะพรุ่งนี้ต้องกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว
สาย ๆ วันนี้พวกเราต้องออกเดินทางจากปายไปสนามบินเชียงใหม่ เพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ปายเป็นอำเภอเล็ก ๆ อยู่ห่างจากแม่ฮ่องสอนประมาณ 111 กิโลเมตร และห่างจากเชียงใหม่ 135 กิโลเมตร ผู้คนท้องถิ่นจริง ๆ เป็นชาวไทยใหญ่ซึ่งมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สภาพบ้านเรือนแบบท้องถิ่นยังมีให้เห็นถึงแม้จะมีความศิวิไลซ์เข้ามาแทรกซึมอยู่บ้าง แต่เมืองปายก็ยังคงความน่ารัก มีเสน่ห์ประทับใจผู้มาเยือนอย่างไม่เสื่อมคลาย ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งครับที่ต้องมนต์เสน่ห์ของเมืองปายเข้าอย่างจัง
มื้อกลางวันวันนี้ พวกเราเปลี่ยนบรรยากาศไปทานอาหารต้นตำรับจีนยูนนานกันบ้าง ตามคำแนะนำของคนที่นี่ ที่ หมู่บ้านสันติชน ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวจีนลูกหลานของกองพล 93 พอสลายตัวแล้วก็มาตั้งถิ่นฐานรวมตัวกันเป็นชุมชนอยู่ที่นี่มา 32 ปีแล้ว ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีจีนไว้เป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องเครื่องแต่งกาย ภาษา ที่อยู่อาศัยซึ่งมีลักษณะเป็นบ้านที่สร้างด้วยดินเหนียว และอาหารตำรับจีนยูนนาน ทั้งขาหมูหมั่นโถว ซุปไก่ดำ โดยเฉพาะเมนูผัดผักนี่เด็ดมากครับ เช่น ผัดผักยอดลำเตา ผัดถั่วยูนนาน เพราะผักที่นี่เป็นผักปลอดสารเคมีจึงมีรสชาติหวานอร่อย วันนั้นพวกเราช่างโชคดีที่ได้พบกับพี่บุญหล่อ หัวหน้าศูนย์วัฒนธรรมจีนยูนนานหมู่บ้านสันติชน พาพวกเรานั่งรถกะบะขึ้นเขาไปอีก 1 กิโลเมตร เพื่อไปดูจุดชมวิวแห่งใหม่ที่เรียกว่า จุดชมวิวหยุนหลาย แปลว่าจุดที่เมฆหมอกมาอยู่รวมกัน ใช่แล้วครับ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าที่นี่เป็นจุดชมทะเลวิวหมอกในมุมมอง 360 องศารอบทิศทาง หากมาตรงกับช่วงดอกท้อบานก็จะเป็นภาพทิวทัศน์ที่แสนวิเศษหาชมได้ยากจริง ๆ ครับ
สะพานประวัติศาสตร์ เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ไม่อยากให้พลาด เพราะมีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ปาย เป็นสะพานเหล็กสร้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทหารญี่ปุ่นเพื่อข้ามแม่น้ำปาย เป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงและอาวุธเข้าไปยังประเทศพม่า พอหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบสิ้นลงแล้ว เมืองปายจึงกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง คงไว้แต่เพียงสะพานประวัติศาสตร์แห่งนี้ตกทอดมายังอนุชนรุ่นหลัง
และแล้วเส้นทางสายนี้ก็พาเรามายังอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ที่มาเมื่อไรก็คอนเฟิร์มว่าหนาวเมื่อนั้น เพราะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางถึง 1,900 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำสายสำคัญสองสาย คือแม่น้ำแตง และแม่น้ำปาย ห้วยน้ำดัง นับเป็นจุดชมทะเลหมอกที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่ง หน้าหนาวทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวมาพักแรมกางเต้นท์กันจำนวนมากจนแทบไม่มีที่เดิน เพื่อรอชมความงามของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าในยามเย็นย่ำ แล้ววันรุ่งขึ้นก็เฝ้ารอชมทะเลหมอกพร้อมกับการเดินทางของพระอาทิตย์ขึ้นสู่ขอบฟ้าในยามเช้า เหล่าดอกไม้สีสันสวยสดต่างเบ่งบานชูช่อโอนเอนพริ้วไหวไปตามสายลมอันหนาวยะเยือก
เรายังมีเวลาพอที่จะไปดู น้ำพุร้อนโป่งเดือด ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง เป็นน้ำพุร้อนแบบไกเซอร์(Geyser) มีลักษณะเป็นสายน้ำพุพุ่งขึ้นจากแรงดันใต้พื้นดิน อุณหภูมิสูงมากจนหมอกควันขาวฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ มีอยู่ประมาณ 3-4 บ่อ เส้นทางเดินเข้าชมน้ำพุร้อนโป่งเดือด ต้องผ่านป่าไม้เถาวัลย์นานาชนิดแต่ทางเดินสะดวกสบายครับไม่ต้องห่วง เอ้อระเหยลอยชาย แวะถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้ตามประสาของพวกเราชาวละไม จนเข้าสู่เชียงใหม่ก็เย็นย่ำแล้ว ระหว่างที่พวกเราอยู่บนรถก็คุยกันมาตลอดทางต่างเห็นพ้องต้องกันว่า บรรยากาศของธรรมชาติในช่วงปลายฝนต้นหนาว ณ เมืองสามหมอกแห่งนี้ สวยงามแตกต่างจากในฤดูกาลอื่น ช่างคุ้มค่าแก่การมาเยือนจริง ๆ ได้เก็บภาพมุมสวย ๆ มาฝาก นับว่าการเดินทางบนเส้นทางอันคดเคี้ยวแสนยาวไกลครั้งนี้สมกับที่รอคอย........สวัสดีครับ........ ขอขอบคุณเป็นพิเศษ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานแม่ฮ่องสอน
ละไมไทยแลนด์ดอทคอม ตุลาคม 51 |