![]() |
© copyright Lamaithailand 2003 All Rights Reserved บริษัท ละไม (ไทยแลนด์) จำกัด 299/783 สุขาภิบาล 5 แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพฯ 10220 โทร. 086-970-8319, 081-988-3531, 095-163-6592 E-mail : info@lamaithailand.com
|

วันเดียว เที่ยวนครปฐม+ราชบุรี พระปฐมเจดีย์ พระราชวังสนามจันทร์ อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม เรื่อง / ภาพ โดย นายสุขใจ
ตอนสายของวันเสาร์ ผมกับเพื่อนทีมงานละไมไทยแลนด์ ชวนกันร่วมทริปไปเก็บภาพสวยมาฝากท่านผู้อ่าน โดยออกเดินทางแบบสบาย ๆ ไม่รีบร้อนอะไร เพราะระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ จุดหมายของเราในวันนี้คือ อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม ที่จังหวัดราชบุรี แต่เรามีเวลาทั้งวัน ดังนั้นเราจึงตั้งใจแวะไปกราบองค์พระปฐมเจดีย์ และเข้าชมพระราชวังสนามจันทร์ ที่จังหวัดนครปฐม กันก่อน แล้วช่วงบ่ายค่อยไปอุทยานฯ เพื่อนผมทำหน้าที่เป็นสารถี ส่วนผมก็นั่งให้กำลังใจสารถีครับ เราขับรถมาทางพระบรมรูปรัชกาลที่ห้า สวนอัมพร ขึ้นสะพานพระรามแปดข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วต่อด้วยถนนลอยฟ้าบรมราชชนนี ขับยาวมาเลยครับ แล้วมาลงที่พุทธมณฑล เข้านครปฐม พอขับเข้าไปถึงในตัวเมืองแล้ว ผมก็มองเห็นองค์พระปฐมเจดีย์อยู่ไกล ๆ ตั้งเด่นเป็นสง่าสมกับเป็นโบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองนครปฐมครับ
พระปฐมเจดีย์ ตั้งอยู่ภายในวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร มีฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก วันที่ผมไปนั้น ผู้คนไม่ค่อยมากเท่าไร อาจเป็นเพราะในวันนั้นไม่ได้มีเทศกาลอะไร หรือไม่ได้จัดงานบุญงานกุศลอะไร แต่ก็ยังมองเห็นผู้คนชาวพุทธที่เลื่อมใสศรัทธา หอบลูกจูงหลานมากันเป็นครอบครัว เดินขึ้นบันไดเพื่อไปกราบองค์พระเจดีย์เพื่อเป็นสิริมงคล และมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากันเป็นหมู่คณะ มาถ่ายรูป และชื่นชมในความวิจิตรอันทรงคุณค่าขององค์พระเจดีย์ อันที่จริง ก่อนที่พวกผมจะไปถึงวัดพระปฐมเจดีย์ พวกผมก็เห็นป้ายบอกทางไปวัดไผ่ล้อมแล้วล่ะ แต่ว่าวันนี้เราจะไปกันหลายที่ ก็เลยไม่ได้แวะ แต่ท่านผู้อ่านครับ หลังจากที่พวกเราออกจากวัดพระปฐมเจดีย์ แล้ว เราจะไปพระราชวังสนามจันทร์กันต่อ ไม่รู้เป็นไง เพื่อนผมมันขับรถวนไปวนมา เข้าซอยโน้นออกซอยนี้ จนมาผ่านหน้าวัดไผ่ล้อมจนได้ เหมือนมีอะไรมาดลใจว่า เมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ก็ต้องมากราบหลวงพ่อพูล วันนี้ก็เลยทำให้ผมกับเพื่อนได้เข้ามาทำบุญกราบขอพรจากหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม (ทางวัดได้จัดทำโลงแก้ว สำหรับร่างของหลวงพ่อ) เพื่อความเป็นสิริมงคล ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีครับ เราเดินทางกันต่อไปยัง พระราชวังสนามจันทร์ อยู่ติดกับมหาวิทยาลัยศิลปากร พอเห็นมหาวิทยาลัยศิลปากรก็เลี้ยวเข้าไปได้เลย แต่ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถของ พระราชวังสนามจันทร์ ฝั่งตรงข้ามเป็น ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยศิลปากร มีงานศิลปะ ประติมากรรม อันงดงามอยู่หลายชิ้น ผมจึงแวะถ่ายรูปงานศิลปะสวย ๆ มาฝากท่านผู้อ่านด้วยครับ เรียบร้อยแล้วเพื่อนผมก็ขับรถเข้าไปจอดในลานจอดด้านนอก แล้วเดินเข้าไปยังพระราชวังสนามจันทร์ ภายในเขตวังเขาไม่อนุญาตให้รถของบุคคลภายนอกเข้าออก พระราชวังสนามจันทร์ (Sanam Chandra Palace) เป็นสถานที่สำหรับแปรพระราชฐานในโอกาสเสด็จฯ มาสักการะองค์พระปฐมเจดีย์ และเพื่อประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ภายในประกอบด้วยพระที่นั่งและพระตำหนักต่าง ๆ อาทิ พระที่นั่งพิมานปฐม ซึ่งใช้เป็นที่ประทับ ที่ทรงพระอักษร ที่เสด็จออกขุนนาง ที่รับรองพระราชอาคันตุกะและออกให้ราษฎรเข้าเฝ้าฯ พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ มีลักษณะคล้ายปราสาท สถาปัตยกรรมแบบเรเนอซองส์ (Resnaissance)ของฝรั่งเศส ผสมผสานกับอาคารแบบฮาล์ฟ ทิมเบอร์ (Half Timbered) ด้านหน้าของพระตำหนักชาลีฯ มีอนุสาวรีย์ย่าเหล สุนัขผู้มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดี พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ มีสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิคของทางตะวันตก มีทางเดินทำเป็นสะพานข้ามคูน้ำเชื่อมต่อกับพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ สำหรับเป็นที่ออกงานสโมสรสันนิบาต เสด็จฯออกขุนนางเพื่อปรึกษาข้อราชการ และเป็นที่แสดงโขนละครต่าง ๆ เทวาลัยคเณศร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อเป็นศาลเทพารักษ์ เพื่อความเป็นสิริมงคล พระราชวังสนามจันทร์ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 09.00-16.00 น. โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ มีการแสดงนาฏศิลป์ไทยให้ชมอีกด้วย วันละ 1 รอบ เวลา 14.00 น. กรุณาแต่งกายสุภาพในการเข้าชมวังด้วยนะครับ ผมรู้สึกอิ่มเอมใจเหลือเกิน หลังจากได้ชมสถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามและทรงคุณค่าเช่นนี้ เอาล่ะครับ เพื่อนผมมันสะกิดว่าชักหิวข้าวแล้ว ถ้างั้นผมขอพักหาอะไรใส่ท้องมื้อกลางวันกันก่อน ตอนบ่ายเราขับรถมาตามถนนเพชรเกษมออกจากนครปฐม พอถึงสี่แยกบางแพ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป จะเห็น อุทยานฯ อยู่ทางขวามือ เรามาถึงโดยใช้เวลาซักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม (Siam Cultural Park) พอย่างก้าวเข้าไปข้างใน สิ่งแรกที่สัมผัสได้เลย คือความร่มรื่นของแมกไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศในวันที่พวกผมไปนั้น มีคณะนักเรียนหลายคณะ ซึ่งมาจากจังหวัดต่าง ๆ มากันเป็นคันรถบัสเลยครับ แล้วก็ยังมีครอบครัวพ่อแม่ลูกหลายครอบครัว เห็นแล้วก็น่าชื่นใจดีครับ คุณปุ้ยและคุณจิ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ซึ่งนำเราชมอุทยานฯ ในวันนี้ เล่าให้ฟังว่า ที่นี่เปิดให้บริการมาได้ปีเศษแล้ว บริเวณอุทยานฯ แห่งนี้ เดิมเป็นป่าไม้เก่า (มิน่าล่ะ ที่นี่จึงร่มรื่นเพราะต้นไม้เยอะ) 80% เป็นต้นไม้เดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว อีก 20% ปลูกขึ้นมาใหม่ ส่วนใหญ่เป็นต้นประดู่ ต้นสัตยาบรรณและพืชสมุนไพรอีกหลายชนิด ให้นักท่องเที่ยวชม เขาจัดเป็นสวนร่มรื่น ระหว่างทางเดินเราจะได้ยินเสียงเพลงไทยคลาสสิค คอยขับกล่อมอยู่ตลอดเวลา และตามต้นไม้ใหญ่ จะมีคำขวัญวันเด็กปีต่าง ๆ ให้เราอ่านเพลิน ๆ
ทั้งสองท่าน นำเราไปที่ อาคารเชิดชูเกียรติเป็นอันดับแรก ที่นี่นำเสนอรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้ง ทั้งหมด 10 ท่าน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างคุณงามความดีในสังคม ยอมเสียสละตัวเองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยรูปปั้นแต่ละท่านก็จะอยู่ในห้องทำงาน ที่ได้ถูกจำลองมาจากห้องทำงานในชีวิตจริงของแต่ละท่าน ที่ถูกใจผมมากเลย คือที่นี่เขาไม่ใช้เชือกกั้นระหว่างหุ่นขี้ผึ้งกับผู้เข้าชม ทางอุทยานฯ บอกว่าถ้าใช้เชือกกั้นจะทำให้หุ่นขี้ผึ้งดูแล้วไม่มีชีวิตชีวา ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะครับ พอเราเดินเข้าไปในห้องแล้วเสมือนมีคนมานั่งทำงานจริง ๆ แต่กระนั้น ทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เขาก็ต้องคอยตรวจตราความเรียบร้อยอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากมีบางท่านซนไปนิด นำเอาปากกาออกจากมือหุ่นไปเขียนโน้นเขียนนี่เล่น ๆ หรือดึงหนวดของหุ่นบ้าง ยังไงก็ ขอล่ะครับ ผมว่าช่วยกันดูแลรักษาหุ่นขี้ผึ้งเหล่านี้ดีกว่า (ดูแต่ตา มืออย่าต้อง) กว่าจะสร้างขึ้นมาได้แต่ละท่าน ใช้เวลานานมากนะครับ เพื่อส่วนรวมจะได้มาชื่นชมกัน เหมือนอย่างพวกเราที่มาเที่ยวชมกันแล้วก็ได้รับความประทับใจกลับไป
ออกจากอาคารเชิดชูเกียรติ ทางเดินก็จะนำพาเราไปยัง ลานพระ 3 สมัย อยู่กลางแจ้ง มีองค์ประติมากรรมพระพุทธรูปขนาดใหญ่ หล่อด้วยทองเหลืองและรมดำ จำนวน 3 องค์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของศิลปะพระพุทธรูปทั้ง 3 สมัย ได้แก่ สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยสุโขทัย สมัยเชียงแสน จากนั้น พวกเราก็เดินไปอีกโซนจนพบถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำนี้ เรียกว่า ถ้ำชาดก จำลองและจัดแสดงเรื่องราวพระเวสสันดรชาดก ตอนชูชกขอสองกุมาร บรรยากาศภายในถ้ำ จะค่อนข้างมืด แต่มีแสงไฟเป็นระบบอินฟาเรด คือพอมีคนเข้าไปดูที่หุ่น ไฟก็จะสว่างขึ้น พอคนเดินไปแล้วไฟก็จะดับลง เด็ก ๆ บางคน พอเห็นหุ่นชูชกซึ่งมีผิวหนังเป็นตะปุ่มตะป่ำเต็มตัว กลัวก็กลัวแต่ก็อยากเข้าไปดูใกล้ ๆ เดินออกจากถ้ำชาดก ก็มาถึง บ้านสมุนไพร เรานั่งพักผ่อนกันที่นั่น และดื่มน้ำสมุนไพรเย็นๆ แก้กระหาย ทำให้สดชื่นขึ้นมาทันทีเลยครับ ถือเป็นการเบรกไปด้วยในตัว ที่นี่เขาจัดเป็นร้านขายของแบบสมัยโบราณเมื่อหลายสิบปีก่อน ผมเดินดูเห็นขนมและของเล่นเมื่อสมัยตอนเราเด็ก ๆ ก็รู้สึกดีใจ เพราะไม่ได้เห็นขนมและของเล่นเหล่านี้มานานมากแล้ว
พักจนหายเหนื่อยแล้ว เราไปต่อกันที่ โซนกุฎิพระสงฆ์ เป็นหมู่เรือนไทยแบ่งเป็นภาคต่าง ๆ ภายในประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งพระสงฆ์ชื่อดังของแต่ละภาค ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของชาวพุทธ เลยไปหน่อยก็เป็น บ้านไทยสี่ภาค ทางอุทยานฯ ได้จำลองที่อยู่อาศัยของคนไทยตามลักษณะสถาปัตยกรรมของภาคต่าง ๆ มีหุ่นขี้ผึ้งจำลองวิถีชีวิตของคนไทยในแต่ละภาคด้วย
จุดสุดท้ายเรามาที่ ลานพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งจำลองมาจากงานประติมากรรมศิลปะราชวงศ์ซ้อง ประเทศจีน เป็นอันว่าวันนี้ คุณปุ้ยและคุณจิ พาผมกับเพื่อนทัวร์ซะทั่วอุทยานฯ เลย เหลือบมองดูนาฬิกาอีกที เกือบหกโมงเย็นแล้ว อุทยานฯ ใกล้จะได้เวลาปิดแล้วครับ ผมก็เลยถือโอกาสลาซะเลยเพราะรบกวนมาหลายชั่วโมงเต็มที One Fine Trip ของผมกับเพื่อนวันนี้ ช่างคุ้มค่าจริง ๆ ครับ อยากเชิญชวนท่านผู้อ่าน หาโอกาสไปเที่ยวกันบ้างนะครับ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก พาครอบครัวที่น่ารักของท่าน เที่ยวแบบไปเช้า เย็นกลับ ตามคอนเซ็ป วันเดียวเที่ยวสนุก.... ขอขอบคุณ : อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม (Siam Cultural Park) คุณปุ้ย คุณจิ ที่นำชมอุทยาน ฯ |