เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย
ผมขอกล่าวคำว่า ซาลามัท ดาตัง เป็นการทักทาย สวัสดี กับท่านผู้อ่านอีกครั้งครับ คราวที่แล้วผมพูดถึงประเทศมาเลเซียกันไปแล้ว มาคราวนี้ผมขอพูดถึงเกาะลังกาวีที่ผมติดค้างท่านผู้อ่านเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้ว
เกาะลังกาวี หรือที่รู้จักกันดีว่า ปูเลา ลังกาวี (Pulau Langkawi) ในภาษามาเลย์ ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ถึง 99 เกาะ จากหลักฐานทางภูมิศาสตร์กล่าวว่า เมื่อประมาณ 500 ล้านปีก่อน เกาะแห่งนี้เกิดขึ้นจากการขยับตัวของชั้นหิน จึงทำให้เกิดเป็นถ้ำหินมากมาย ภายในถ้ำแต่ละแห่งนั้นก็ล้วนแล้วแต่งดงามตระการตาไปด้วยหินงอกหินย้อยรูปทรงต่าง ๆ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ชื่อเสียง อย่างเช่น ถ้ำCerita ซึ่งต้องเดินทางมาด้วยเรือ ประมาณครึ่งชั่วโมง ภายในมีชั้นหินที่มีความสูง บริเวณผนังถ้ำ มีรอยจารึกเป็นเรื่องเล่าขานตั้งแต่โบราณ เกี่ยวกับความเร้นลับและความรักโรแมนติค ถ้ำบางแห่งตั้งอยู่ใจกลางป่าโกงกาง เขาก็เอาไม้มาทำเป็นที่พักค้างแรมให้นักท่องเที่ยว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบลุย ๆ อย่างนี้เป็นต้นครับ
เกาะลังกาวี อยู่ทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ถึงแม้จะเป็นเกาะเล็กๆ แต่สร้างรายได้มหาศาล โดยเฉพาะในเรื่องของการท่องเที่ยว แต่ละปีต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเป็นจำนวนมาก รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย อาจเป็นเพราะอยู่ไม่ไกลกัน อีกทั้งการเดินทางจากประเทศไทยไปลังกาวีก็ง่ายนิดเดียวครับ มีสายการบินบินตรงสู่สนามบินลังกาวีทุกวัน แต่ถ้าจะให้ดีแทนที่เราจะบินไปเที่ยวลังกาวีอย่างเดียว ผมว่าเราน่าจะอุดหนุนคนไทยด้วยกัน เพราะมีแพ็คเกจแบบเดินทางเที่ยวทั้งหมู่เกาะตะรุเตาด้วยและเที่ยวเกาะลังกาวีพ่วงไปด้วยโดยเริ่มต้นที่จังหวัดสตูล มีเวลาเพียง 3-4 วัน ก็ไปได้ครับ มีทั้งแบบพักค้างคืนที่ลังกาวี 1 คืน หรือไปเช้าเย็นกลับก็มีครับ ผมก็เคยไปเที่ยวแพ็คเกจแบบนี้มาแล้ว โดยนั่งรถทัวร์ไปลงที่ อ.ละงู จ.สตูล แล้วก็ไปดำน้ำในเขตหมู่เกาะตะรุเตา ชมความสวยงามของธรรมชาติบ้านเราก่อน แล้วค่อยนั่งเรือเฟอร์รีจากท่าเรือตำมะลัง ไปยังเกาะลังกาวี พอไปถึงที่นั่นก็มีไกด์ท้องถิ่นมารอรับเราที่ท่าเรือ แล้วพาเราเที่ยวบนเกาะซึ่งมีสถานที่หลายแห่งที่น่าสนใจ
เมื่อมาถึงเกาะลังกาวี สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาผมมากที่สุด คือ จัตุรัสนกอินทรีย์ Eagle Square หรือในภาษามาเลย์เรียกว่า Dataran Lang จนแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของเกาะลังกาวีไปแล้ว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาทางเรือ เพราะตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือ Kuah Jetty ใครมาที่นี่คงไม่พลาดที่จะถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึกแน่นอน รวมทั้งผมด้วยคนนึงล่ะ ก็เพราะรูปปั้นนกอินทรีย์สีน้ำตาลแดงขนาดใหญ่ ที่มีรูปทรงได้สัดส่วนดูสวยงามกำลังสยายปีกอย่างสง่าผ่าเผย ว่ากันว่า ลังกาวีเป็นชื่อที่เพี้ยนมาจาก Eagle หรือ Helang ในภาษามาเลย์แสลง ส่วน Kawi หมายถึงสีน้ำตาลแดง ดังนั้น คำว่า Langkawi จึงหมายความว่า Reddish Brown Eagle หรือ นกอินทรีย์สีน้ำตาลแดง นั่นเอง ในยามค่ำคืนยิ่งสวยงดงามไปด้วยดวงไฟประดับประดาอยู่ทั่วบริเวณ
พอเดินทางเข้ามาในกัวะ ( Kuah ) ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ถือเป็นเมืองหลักของลังกาวี มีถนนหนทางสายเล็ก ๆ เปรียบเสมือนศูนย์กลางธุรกิจการค้าของเกาะนี้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนให้เป็นพื้นที่ปลอดภาษี ดังนั้นสินค้าหลายอย่างจึงมีราคาถูก นับเป็นแหล่งจับจ่ายซื้อสินค้ากันเลยทีเดียว ตลาดกั๊วะ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักช้อป และจะต้องแวะให้ช้อปปิ้งกันก่อนจบโปรแกรมทัวร์ โดยเฉพาะสินค้าประเภทสุรา บุหรี่ น้ำหอม รังนก ชอคโกแลต หรือพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า ราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ต้องเลือกให้เหมาะกับการใช้งานเมื่อนำมาใช้ในบ้านเราด้วยนะครับ
สุสานพระนางมัสซูรี หลายท่านรู้จัก เกาะลังกาวีในแง่ของตำนานพระนางมัสซูรี หรือพระนางเลือดขาว เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า พระนางมัสซูรี เป็นหญิงสาวชาวภูเก็ต ที่พระอนุชาองค์สุลต่านแห่งลังกาวี ทรงเลือกเป็นคู่ครอง เนื่องจากเป็นหญิงที่มีความสวยงามและเป็นแม่บ้านแม่เรือน พระนางมัสซูรี ในฐานะพระชายาองค์รองมีบุตรเป็นชาย แต่พระชายาองค์ใหญ่ ซึ่งมีฐานะเป็นปะไหมสุหรีมีบุตรเป็นหญิง จึงเกิดความอิจฉาริษยา เนื่องจากตามกฎของสำนัก พระชายาที่มีบุตรเป็นชายจะได้รับตำแหน่งปะไหมสุหรี ต่อมาพระสวามีของพระนางมัสซูรี ต้องเดินทางไปออกรบ จึงเป็นโอกาสของผู้ที่ปองร้าย หาเรื่องสร้างสถานการณ์ว่าพระนางมัสซูรีมีชู้ ทำให้องค์สุลต่าน ตัดสินประหารชีวิตพระนางด้วยกริช ก่อนเสียชีวิตพระนางอธิษฐานว่า หากนางไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา ขอให้โลหิตที่หลั่งออกมาเป็นสีขาว และขอสาปแช่งให้เกาะลังกาวีไม่มีความเจริญไป 7 ชั่วคน แต่คมกริชประหารกลับไม่ระคายผิวนางเลย พระนางมัสซูรี จึงบอกกับเพชฌฆาตให้กลับไปนำกริชพิเศษของต้นตระกูลจากบ้านของนางมา ขณะที่คมกริชจดลงไปบนคอของนาง โลหิตสีขาวก็พวยพุ่งออกมา
ด้านพี่ชายของพระนางมัสซูรีเกรงว่า โอรสวัย 5 เดือนของนางจะมีภัย จึงตัดสินใจพานั่งเรือมาตั้งรกรากที่ภูเก็ต โอรสเติบโตขึ้นมีนามว่า โต๊ะวัน เป็นทายาทรุ่นที่ 1 นับแต่บัดนั้นมา เกาะลังกาวีก็ไม่มีความเจริญรุ่งเรือง ผู้คนอยู่อย่างย่ำแย่ด้วยผลแห่งคำสาปแช่ง มาจนถึง 7 ชั่วคน จนกระทั่งมาถึงรุ่นของ น.ส.สิรินทรา ยายี ทายาทรุ่นที่ 7 ซึ่งผมจำได้ว่าเคยเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยว่า พบทายาทรุ่นที่ 7 ของพระนางมัสซูรีอยู่ที่ภูเก็ต.... เวลา 200 กว่าปี หรือ 7 ชั่วคนนั้นได้ผ่านไปแล้ว นับแต่นี้ไปลังกาวีก็มาถึงยุคของความเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง
นั่นก็เป็นตำนานของพระนางเลือดขาวที่ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านก็คงจะเคยได้ยินมาบ้าง เอาล่ะครับ เรามาเดินทางกันต่อดีกว่าครับ
จากตัวเมืองกัวะนั่งรถไป 30 นาทีก็มาถึงสถานีขึ้น ลังกาวี เคเบิลคาร์ ( Langkawi Cable Car ) เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งกระเช้าลอยฟ้า เพื่อชมทัศนียภาพในมุมสูงกันบ้าง ซึ่งเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น เคเบิลคาร์ จะนำเราไปชมทิวทัศน์ยังจุดสูงสุดของยอดเขามัดชินชัง ซึ่งมีความสูงถึง 700 เมตรและชมรอบ ๆ เกาะ Datai Penisula แล้วยังสามารถมองเห็นทะเลอันดามันฝั่งไทยได้อีกด้วย
เดินทางจากเมืองกัวะไป 11 กิโลเมตร มีพิพิธภัณฑ์อีกแห่งที่น่าสนใจ Galleria Perdana เป็นสถานที่รวบรวมของสะสมอันทรงคุณค่ากว่า 2,500 ชิ้น และรางวัลที่ได้รับจากอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด และภรรยาของท่าน มีการแสดงภาพวาดต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเครื่องแก้วคริสตัล, ไม้, เครื่องเงิน, หนังสัตว์, ทองแดง, ดีบุกผสมตะกั่ว, เซรามิค รวมทั้งเครื่องดนตรีของมุสลิม งานฝีมือ สิ่งทออันวิจิตรปราณีตหาชมได้ยาก
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบโลกใต้ทะเลโดยไม่ต้องลงไปดำน้ำให้ตัวเปียกล่ะก้อ ขอแนะนำ Underwater World Langkawi อันที่จริงก็ไม่ใช่ของใหม่หรอกครับ ที่ลังกาวีสร้างมาก่อนเราด้วยซ้ำครับ แต่ยังไงก็ต้องไปชมซะหน่อย พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลให้ชมถึงกว่า 5,000 ชนิด มีถังบรรจุสัตว์น้ำมากกว่า 100 ถัง อุโมงค์สัตว์ทะเลมีความยาว 15 เมตร ให้ชมสัตว์โลกใต้ทะเลอันหลากหลาย เช่น ปลาฉลาม ปลากระเบน ปะการัง ดอกไม้ทะเล รวมทั้งปลาทะเลหน้าตาแปลก ๆ อีกมากมาย
ส่วนเรื่องของสภาพอากาศก็คล้ายคลึงกับภาคใต้บ้านเรา อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 24-33 องศาเซลเซียส ช่วงที่เหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยวโดยเฉพาะทางเรือก็อยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม ท่าเทียบเรือและบริการทางเรือของลังกาวีนั้นถือเป็นอันดับหนึ่งของการคมนาคมของที่นี่ และเป็นที่นิยมกันมากของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
เรียบเรียง : ละไมไทยแลด์ดอทคอม
ภาพ : kamiadalahpenulis.blogspot, vacationtimenow
ข้อมูล : การท่องเที่ยวมาเลเซีย สำนักงานประเทศไทย โทร. 0-2631 1994-6