ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วต่อเนื่องมาจนถึงปีใหม่ เรื่อง Talk of the World ที่พูดกันทั่วโลก ผู้คนเฝ้าดูกันทั่วโลก ก็คือ การนับถอยหลังสู่พิธีเปิดตึกที่สูงที่สุดในโลก เบิร์จ ดูไบ (Burj Dubai) เมื่อวันจันทร์ที่ 4 มกราคม ซึ่งมีความสูงถึง 828 เมตร หรือ 2,717 ฟุต หลังจากที่ปกปิดเรื่องความสูงมาตลอด และมีมูลค่าการก่อสร้างสูงถึง 1,500 ล้านดอลลาร์ 50,000 กว่าล้านบาท
วันเสาร์สบายๆวันนี้ ผมจึงขอพาท่านผู้อ่านไปชมความมหัศจรรย์ของตึกสูงที่สุดในโลก และแพงที่สุดในโลกแห่งนี้ ท่ามกลางเสียงนินทาว่า ตึกแห่งนี้จะเป็นอนุสาวรีย์แห่งการล่มสลายของดูไบ

แม้ตึกสูงที่สุดในโลกแห่งนี้ทั่วโลกจะรู้จักในชื่อ "เบิร์จ ดูไบ" หรือ "ตึกดูไบ" ที่เจ้าผู้ครองนครดูไบ ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักทูม ตั้งขึ้นเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของ รัฐดูไบ แต่ในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เจ้าผู้ครองนครดูไบ กลับต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวดและน้ำตา ประกาศเปลี่ยนชื่อตึกจาก "เบิร์จ ดูไบ" เป็น "เบิร์จ กาลิฟา" (Burj Khalifa) ซึ่งเป็นชื่อของ เจ้าผู้ครองนครอาบูดาบี เจ้าหนี้เงินกู้รายใหญ่ของดูไบ และเป็นประธานพิธีเปิดตึกในวันนั้น
นอกจากนี้ กาลิฟา หรือ ชีค กาลิฟา บิน ซาเอ็ด อัล นาห์ยาน เจ้าผู้ครองนครอาบูดาบี และเป็น ประธานาธิบดียูเออี ยังได้รับเกียรติเป็น "ลูกบ้านคนแรก" ของตึกกาลิฟาแห่งนี้ โดยจะย้ายเข้าไปอยู่อย่างเป็นทางการในเดือนหน้า

ตึกกาลิฟา ตั้งอยู่ในเขตเมืองใหม่ดูไบ ดาวน์ทาวน์ เบิร์จ ดูไบ ครอบคลุมพื้นที่ 2 ตารางกิโลเมตร ใช้เงินลงทุนในโครงการ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 670,000 ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอย 334,000 ตารางเมตร มีหน้าต่าง 24,348 บาน ใช้เวลาทำความสะอาดครั้งละ 3-4 เดือน
ค่าพื้นที่ขายแพงมาก พื้นที่สำนักงาน ตารางฟุตละ 4,000 ดอลลาร์ ประมาณ 134,000 บาท หรือ ตารางเมตรละ 43,000 ดอลลาร์ ประมาณ 1.44 ล้านบาท พื้นที่ที่อยู่อาศัย ในส่วนที่ จิออร์จิโอ อาร์มานี ออกแบบ ขายตารางฟุตละ 3,500 ดอลลาร์ ประมาณ 117,250 บาท หรือ ตารางเมตรละ 37,500 ดอลลาร์ ประมาณ 1,256,000 บาท เหมือนเคลือบด้วยทองคำยังไงยังงั้น
แต่ข่าวล่าสุดบอกว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ในดูไบกำลังมีราคาตกต่ำสุดๆ จากวิกฤติเศรษฐกิจโลกและดูไบเอง ทำให้ราคาพื้นที่ตกลงไปถึง 50 เปอร์เซ็นต์ จากราคาเดิม จึงไม่แปลกใจที่มีผู้คาดเดาว่า ตึกสูงที่สุดในโลกแห่งนี้ ในอนาคตอาจกลายสภาพเป็น "ตึกร้าง" ไร้ผู้คนอาศัยและทำธุรกิจ
นอกจากความสูงและราคาแล้ว ตึกกาลิฟายังสร้างสถิติโลกอีกหลายอย่าง เช่น มีสระว่ายน้ำแบบเอาต์ดอร์ที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนระเบียงชั้นที่ 76 บนความสูง 853 ฟุต, มีภัตตาคารที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนชั้นที่ 122, มีที่ชมวิวสูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนชั้นที่ 124 สามารถมองได้ไกลถึง 50 ไมล์ มองข้ามทะเลอารเบียเข้าไปถึงประเทศอิหร่านได้, มีสุเหร่าที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนชั้นที่ 158 เป็นต้น
สถิติอื่นอย่างเช่น ใช้คอนกรีตมากถึง 330,000 ตัน ใช้กระจก 1.52 ล้านตารางฟุต เท่ากับสนามฟุตบอล 17 สนาม ลิฟต์โดยสารเป็นลิฟต์ 2 ชั้น บรรทุกผู้โดยสารได้ครั้งละ 25 คน วิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ หรือ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ตัวอาคารได้รับการออกแบบให้รับความร้อนได้สูงถึง 50 องศาเซลเซียส เพื่อให้อยู่ได้ในหน้าร้อน ตัวอาคารมีความยืดหยุ่นสูงในแต่ละด้าน เช่น ด้านที่ได้รับแสงแดด จะสามารถยืดตัวเอียงขึ้นเป็นมุมสูงได้ถึง 3 ฟุต สูงกว่าข้างที่ไม่ได้รับแสงแดด ตัวอาคารยังได้รับการออกแบบให้ต้านทานแรงลมบน โดยตัวตึกจะแกว่งตัวไปมาได้ถึง 6 ฟุต เมื่อถูกกระแสลมพัดกระหน่ำ
เห็นตัวเลขทั้งหมดแล้วก็ต้องยอมรับว่า มหัศจรรย์งานสร้างจริงๆ นี่ยังไม่ได้พูดถึงการใช้น้ำไฟและเสบียงอาหารของผู้คนหลายหมื่นคนในอาคารนี้
แต่ตัวเลขที่ผมเห็นแล้วรู้สึกเป็นห่วงก็คือ ตั้งแต่สร้างเสร็จ ตัวตึกจมลงไปจากเดิมแล้ว 2.4 นิ้ว เพราะพื้นรับน้ำหนักของตัวตึกไม่ไหว ถ้ามีคนเข้าไปอยู่อาศัยและทำงานเต็มตึกละก้อ ไม่รู้จะทรุดลงไปอีกเท่าไร.
" ลม เปลี่ยนทิศ " ไทยรัฐ 9 ม.ค.53