© copyright Lamaithailand 2003 All Rights Reserved บริษัท ละไม (ไทยแลนด์) จำกัด 299/783 สุขาภิบาล 5 แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพฯ 10220 โทร. 086-970-8319, 081-988-3531, 095-163-6592 E-mail : info@lamaithailand.com |
เวียนนา (Vienna) ออสเตรีย เวียนนา นครแห่งศิลปะและดนตรี
เวียนนา (Vienna) จักรพรรดินครอันโรแมนติค ครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์เป็นนครสำหรับชนชั้นขุนนางและบรรดาเจ้านายชั้นสูงเท่านั้น เป็นเวลานับศตวรรษที่เวียนนาแผ่อำนาจการปกครองราชอาณาจักรแห่งลุ่มน้ำดานูบ อันเป็นอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่ง จนในยุคปัจจุบันเวียนนา เป็นนครที่มีความทันสมัยแต่แฝงเร้นอยู่ภายใต้สถาปัตยกรรมคลาสสิคอันทรงคุณค่า เวียนนา ในภาษาเยอรมันออกเสียงว่า วีน (Wein) เป็นนครหลวงของสาธารณรัฐออสเตรีย (The Republic of Austria ) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ตอนกลางของทวีปยุโรป ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออก มีพรมแดนติดกับ 8 ประเทศด้วยกัน ได้แก่ เยอรมัน เช็ค สโลวัค ฮังการี สโลเวเนีย อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และลิคเทนสไตน์ และไม่มีทางออกสู่ทะเลเลย มีแต่ทะเลสาบเยอะมากครับแล้วก็สวย ๆ ทั้งนั้นด้วย ภาษาประจำชาติคือ ภาษาเยอรมัน เนื่องจากชาวออสเตรียนส่วนใหญ่มีเชื้อสายเยอรมัน (Germanic ) ประชากร 8 ใน 10 คนนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ส่วนที่เหลือนับถือนิกายโปรแตสเตนท์ และอิสลาม ตามกฎหมายออสเตรีย เขาให้เสรีภาพแก่คนที่มีอายุ 14 ปีขึ้นไปในการเลือกนับถือศาสนาเองได้ ออสเตรียมีพื้นที่ประมาณ 83,850 ตารางกิโลเมตร หรือเล็กกว่าไทย 6 เท่า พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ซึ่งแต่ละแห่งก็สูง ๆ กันทั้งนั้น ยอดเขาที่สูงที่สุด คือ โกรสกลอคเนอร์ (Gross Glockner ) มีความสูงถึง 3,797 เมตร บางแห่งเป็นพื้นที่ราบลุ่มซึ่งก็เหมาะแก่การเพาะปลูก สภาพอากาศมี 4 ฤดูกาล ในฤดูหนาว อากาศหนาวจัด มีหิมะปกคลุมบนยอดเขา ตั้งแต่เดือนธันวาคม ถึงกุมภาพันธ์นั้นหนาวสุด ๆ ครับ แต่ถ้าคนไทยจะไปเที่ยวผมแนะนำว่าไปช่วงฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูร้อนจะดีกว่า เพราะไม่ต้องทนหนาวแบบทรมานมาก ไม่ต้องหอบเสื้อกันหนาวแบบ overcoat ให้หนักกระเป๋าด้วย แต่ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูร้อน บางวันจะมีฝนโปรยปรายให้พอชุ่มฉ่ำบ้าง แต่ไม่ตกหนักเหมือนบ้านเรา เพราะฉะนั้นควรเตรียมร่มพับใส่กระเป๋าไว้บ้างก็ดีครับ ชาวออสเตรียนเป็นคนอนุรักษ์นิยม ไม่ชอบความรุนแรงและความขัดแย้ง รักธรรมชาติและความสงบ ดังจะเห็นได้จากผู้ที่เป็นจิตรกรเอก ประติมากรเอก กวีเอก นักดนตรีหรือ คีตกวีเอกคนสำคัญของโลก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวออสเตรียน ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำเรียกขานว่า นครแห่งศิลปะและดนตรี หรือบ้างก็เรียก นครแห่งวอลท์ซ อันเนื่องมาจากเมืองต่าง ๆ ในออสเตรียเป็นจุดกำเนิดหรือเป็นที่มาของศิลปะแขนงต่าง ๆ และศิลปินหลาย ๆ คน เราจะพบเห็นรูปปั้นอันอ่อนช้อยงดงามหรืองานศิลปะอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ในออสเตรีย โมสาร์ท (Mozart ) ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินชื่อนี้กันมาพอสมควรใช่มั้ยครับ ถ้าใครฟังดนตรีโมสาร์ท ก็ถือว่าเป็นคนมีคลาส มีระดับครับ เพราะดนตรีของเค้านี่ถึงขั้นต้องปีนบันไดฟังกันเลยครับ โมสาร์ท ได้รับการยกย่องให้เป็นคีตกวีคนสำคัญของโลก เขาเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1721 ในเมืองซาลส์บวร์ก เป็นลูกชายของครูสอนดนตรีชื่อดังคนหนึ่ง โมสาร์ท เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงดังเช่นพ่อของเขา และเดินทางไปแสดงดนตรียังราชสำนักประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรปตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษ ยังตรัสว่า โมสาร์ทอายุเพียง 8 ขวบ แต่สามารถเล่นดนตรีได้ไพเราะราวกับคนอายุ 40 ปี จึงได้รับฉายาว่า เด็กมหัศจรรย์ โดยได้รับการแต่งตั้งจากสันตะปาปาแห่งกรุงวาติกันให้เป็นอัศวิน เมื่อครั้งที่เขาอายุ 4 ขวบ พระนางมาเรียเธเรซา จักรพรรดินี ได้โปรดให้โมสาร์ทเล่นดนตรีหน้าพระที่นั่ง เมื่อเล่นจบพระนางก็ให้รางวัลโดยการอุ้มขึ้นนั่งบนพระชงฆ์ ในครั้งนี้เอง โมสาร์ทได้มีโอกาสพบกับเจ้าหญิงมารีอังตัวเน็ท ซึ่งเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน พระราชธิดาองค์ที่ 4 ของพระนางมาเรียเธเรซา แต่ด้วยความประหม่าของโมสาร์ท ทำให้เดินสะดุดดาบที่คาดเอว เพราะแต่งตัวเต็มยศ ซึ่งคงจะใหญ่เกินตัวเด็กขนาดเล็ก แล้วมารีอังตัวเน็ทได้เข้ามาประคอง แถมจุมพิตอีกหนึ่งที ทำให้โมสาร์ทหายตกใจ หยุดร้องไห้ แถมพูดว่า โตขึ้นจะขอแต่งงานด้วย แต่ชีวิตก็ไม่ได้เป็นไปตามที่โมสาร์ทพูดไว้เลย เพราะมารีอังตัวเน็ทนั้น วาสนาดีได้เป็นราชินีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส เมื่อโมสาร์ทโตเป็นหนุ่ม ได้พบกับสาวคนรักแต่ไม่ได้แต่งงานกัน ในเวลาต่อมา โมสาร์ทกลับมาแสดงดนตรีที่ซาลส์บวร์ก บ้านเกิดนั้น ก็ได้พบกับคอนสตัน เวเบอร์ ซึ่งเป็นน้องสาวของคนรักของเขา และได้แต่งงานกัน เมื่อเขาอายุ 26 ปี ชีวิตการแต่งงานไม่มีความสุข เนื่องจากภรรยาเขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ทำให้ฐานะของเขายากจนลงเรื่อย ๆ และล้มเจ็บด้วยโรคโลหิตเป็นพิษ จนถึงแก่กรรมในปีค.ศ. 1756 เมื่ออายุได้เพียง 35 ปี ร่างของโมสาร์ท ถูกนำไปฝังยังสุสานเซนมาร์คในฐานะศพอนาถา แต่ผลงานของเขากว่า 200 ชิ้น ได้แก่เพลงอันอมตะนั้น เป็นที่รู้จักของนักฟังเพลงทั่วโลก ทำให้ประเทศออสเตรียเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ในแง่ศิลปะการดนตรี เอาละครับ เราได้รู้จักกับบุคคลสำคัญของออสเตรียไปแล้ว ทีนี้เรามารู้จักกับเมืองสำคัญของออสเตรียกันบ้างดีกว่า แน่นนอนครับ ผมหมายถึง นครเวียนนา ซึ่งเป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่บริเวณก้นกระทะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทางเหนือของเทือกเขาแอลป์ (Alps) มีแม่น้ำดานูบซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักไหลผ่าน หากท่านผู้อ่านมีเวลาสัก 1 วันในเวียนนา ผมขอแนะนำสถานที่สำคัญที่พลาดไม่ได้ พระราชวังเชินบรุนน์ ( Schoenbrunn Palace ) สร้างขึ้นเมื่อตอนกลางของศตวรรษที่ 16 จากปราสาทโบราณเดิม แคตเตอร์เบิร์ก โดยพระเจ้าแมกซิมิเลียนที่ 2 ทรงโปรดให้สร้างเป็นตำหนักชายป่า สำหรับล่าสัตว์และพักร้อน ต่อจากนั้น ตำหนักก็ถูกทำลาย โดยพวกเตอร์กที่รบรุกขึ้นมาจากตอนใต้ จักรพรรดิลีโอโปลด์ จึงทรงให้สร้างพระราชวังขึ้นใหม่อย่างงดงาม เพื่อให้เป็นพระราชวังฤดูร้อน (Summer Palace) โดยย่อแบบมาจากพระราชวังแวร์ซายสส์ในฝรั่งเศส พระราชวังเชินบรุนน์ เป็นศิลปะยุค ร็อคโคโค ซึ่งเป็นยุคต่อจากยุค เรอเนสซองส์ แต่ศิลปะแบบร็อคโคโค จะมีความโอเวอร์กว่า สไตล์ของศิลปะจะดูรกรุงรังกว่า ดูเยอะกว่าแบบเรอเนสซองส์ที่มีความพอดีลงตัว ตัวพระราชวังมีลักษณะเป็นตึก 3 ชั้น มีปีก 2 ข้าง มีห้องต่าง ๆ จำนวนมากถึง 1,441 ห้อง แต่เปิดให้เข้าชมได้ 40 ห้อง ประกอบด้วย ห้องบรรทม ห้องทรงพระอักษร ห้องทรงพระสำราญ ท้องพระโรง ห้องเสวย ทุกห้องตกแต่งด้วยวัสดุที่วิจิตรประณีตแตกต่างกันไป อาทิ หินอ่อน ลายทอง ซึ่งวัสดุตกแต่งทุกชิ้นทรงคุณค่าแห่งประวัติศาสตร์ และร่องรอยของอดีตที่จะทำให้ผู้เข้าชม จะได้นึกย้อนไปถึงความรุ่งเรืองแต่หนหลังของพระราชวังแห่งนี้ ด้านนอกของตัววังทาด้วยสีเหลืองทอง หรือที่เรียกกันว่า สีเหลืองมาเรีย เธเรซา ในสมัยโบราณ ออสเตรียมีกฎหมายว่า บ้านของประชาชนห้ามทาสีเหลือง เพราะคล้ายสีเหลืองทองที่ใช้ทาในพระราชวัง แต่ปัจจุบัน บ้านในออสเตรียจะทาสีเหลืองก็ได้ ไม่ผิดกฎหมาย ส่วนรอบ ๆ พระราชวัง ด้านหลังก็ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ อย่างสวยงามตามแบบแผนผังที่จัดวางไว้ มีรูปปั้นศิลปะเกี่ยวกับเทพนิยายกรีกและโรมันอีกกว่า 40 รูป แทรกอยู่ตามหมู่ต้นไม้ มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen) ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวียนนา ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ลักษณะเป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ทรงสูง มียอดปลายแหลม ๆ หลายยอด เป็นสถาปัตยกรรมยุโรปแบบโกธิคที่อ่อนช้อยงดงามมาก ชาวออสเตรียนมีความผูกพันกับมหาวิหารเซนต์สตีเฟนเป็นอย่างมาก ทุก ๆ ปี ตอนเที่ยงคืนของคืนก่อนวันขึ้นปีใหม่ พุมเมอริน (Pummerin) อันเป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดใบหนึ่งของโลกจะดังกังวานขึ้น แล้วทั้งประเทศก็จะพากันเฉลิมฉลองความสุขด้วยท่วงทำนองของ เพลงบลูดานูบ สวนสาธารณะประจำเมืองสตัด์ท พาร์ค ( Stadt Park ) ก็เป็นอีกแห่งที่น่าไปเยือน และถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก่อกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1862 ตามการออกแบบของผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิสถาปัตย์ และถนนเลียบแม่น้ำ สำหรับพักผ่อนเดินเล่น ที่นี่ประดับประดาไปด้วยรูปปั้นของนักดนตรีเอกของโลกมากมาย เช่น โมสาร์ท, โยฮัน สเตร้าท์, ชูเบริ์ต ฯลฯ เรียงรายอยู่ตามสองฝั่งของแม่น้ำเวียนนาอันสงบและเยือกเย็น กลางสวนแห่งนี้ มีห้องสูบน้ำ (Pump Room) สีเหลืองทองอันเป็นสีโปรดของพระนางมาเรียเธเรซา ซึ่งเคยถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานบอลล์ที่หรูหราอลังการอีกด้วย ตอนเย็นช่วงแดดร่มลมตกในฤดูร้อน ก็จะมีการแสดงคอนเสิร์ต จากศิลปินมากมายสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาให้ความสำราญแก่ผู้มาเยือน อย่างไรก็ตามในสวนสาธารณะก็เป็นแหล่งอาศัยของพวกคนพเนจร นักท่องเที่ยวควรระมัดระวังพวกมิจฉาชีพด้วยนะครับ ท่านผู้อ่านครับ เพียง 1 วันในเวียนนา ถ้าได้ไปสัก 3 แห่งหลัก ๆ ที่ผมกล่าวมานี้ ผมว่าคุ้มค่าแล้วล่ะครับ ส่วนเวลาที่เหลือก็นั่งรถม้าชมเมืองก็ได้นะครับ เพราะรถม้านี้ก็ถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองเวียนนาเช่นกัน ตามถนนหนทาง หากเราได้ยินเสียงกร๊อกแกร๊ก ๆ จากฝีเท้าของเกือกม้า นั่นหมายถึงรถม้ากำลังผ่านมาแถวนี้ครับ เมื่อมองไปยังนักท่องเที่ยวที่นั่งอยู่บนรถม้านั้น ช่างเท่ห์และสง่างามดีจัง แต่สนนราคาก็ค่อนข้างแพง ยังไงก็ดูตามงบประมาณละกันนะครับ หรือว่าจะไปเที่ยวชมตลาดผลไม้ ตลาดดอกไม้ก็เพลินดีครับ จะได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวเมืองเวียนนากันด้วย อ้อ! ยังมีตลาดเอเชีย ที่มีผัก ผลไม้ เครื่องปรุง ของกินชนิดต่าง ๆ ที่นำเข้ามาจากทวีปเอเชีย ทั้งอินเดีย จีน และจากประเทศไทยก็มีครับ แต่คงจะเหมาะสำหรับชาวเอเชียที่อาศัยอยู่ที่นี่มากกว่า เผื่อบางทีนึกเบื่อ ๆ อาหารฝรั่งก็มาทำอาหารเอเชียดูบ้าง พวกเขาก็มาหาซื้อของกันที่ตลาดนี้ครับ ออสเตรียเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันมั่งคั่งของประเทศ รวมทั้งลักษณะนิสัยใจคอของชาวออสเตรียนก็รักความสงบ เป็นมิตรกับผู้มาเยือน สิ่งเหล่านี้ล่ะครับ ที่ทำให้รายได้ในแต่ละปีที่มาจากการท่องเที่ยวสูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศเลยทีเดียวครับ |