© copyright Lamaithailand 2003 All Rights Reserved บริษัท ละไม (ไทยแลนด์) จำกัด 299/783 สุขาภิบาล 5 แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพฯ 10220 โทร. 086-970-8319, 081-988-3531, 095-163-6592 E-mail : info@lamaithailand.com |
อันดามันใต้ ตะรุเตา - อาดัง ราวี หลีเป๊ะ ทะเลสตูล นอกจากจะได้เปรียบในเรื่องทัศนียภาพอันสวยงาม น้ำทะเลใสแจ๋วแล้ว ยังมีความหลากหลายของวงจรชีวิตสัตว์ทะเลที่ถือเป็นเพชรเม็ดงามแห่งท้องทะเลอันดามันใต้ และยังเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายคนที่อยากจะไปให้ถึงสวรรค์แห่งการดำน้ำ โดยเฉพาะคนที่ทำงานอยู่ในเมืองใหญ่อันสับสนวุ่นวาย ถ้าลองจัดสรรเวลามาพักผ่อนกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงาม พักสายตากับท้องทะเลสีคราม ดำน้ำดูปะการังและสรรพสิ่งมีชีวิตใต้ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ก็คงจะเป็นวันพักผ่อนอันแสนวิเศษและคุ้มค่ากับการเดินทางจริง ๆ
ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลจากกรุงเทพฯ เกือบพันโล แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่ต้องการค้นหาความสุขในวันพักผ่อนอย่างแท้จริง หมู่เกาะตะรุเตาคือจุดหมายข้างหน้าที่ต้องไปให้ถึงตามฝัน เราสามารถเดินทางไปจังหวัดสตูลได้หลายทาง ไม่ว่าจะนั่งรถทัวร์ปรับอากาศ ซึ่งก็มีให้เลือกทั้งแบบ VIP และแบบธรรมดา มาลงที่ตัวอำเภอละงู หรือนั่งเครื่องบินมาลงที่จังหวัดตรัง หรืออำเภอหาดใหญ่ก็ได้ แล้วต่อรถไปที่ท่าเทียบเรือปากบารา อำเภอละงู “ ละงู ” เป็นอำเภอเล็ก ๆ แต่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของท่าเทียบเรือปากบาราซึ่งเป็นท่าเทียบเรือที่อยู่ใกล้เกาะตะรุเตามากที่สุด ดังนั้นทุก ๆ เช้าบรรยากาศบริเวณท่าเทียบเรือนั้นจะค่อนข้างดูวุ่นวาย ทั้งชาวบ้านที่ต้องโดยสารเรือไปทำงาน ทำธุระปะปัง หรือไปค้าขายสินค้า นั่นคือวิถีชีวิตประจำวันของชาวละงูส่วนหนึ่ง รวมถึงนักท่องเที่ยว ผู้ให้บริการด้านท่องเที่ยว และยังขวักไขว่ไปด้วยเรือโดยสาร เรือนำเที่ยวหลายต่อหลายลำจอดเรียงรายกันเพื่อเตรียมพร้อมให้บริการ ยิ่งช่วงเทศกาลไม่ว่าจะปีใหม่ สงกรานต์ หรือช่วงวันหยุดต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาราวกับคลื่นคนเลยทีเดียว จนอาจกล่าวได้ว่า การท่องเที่ยวเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อำเภอละงูเจริญเติบโตจนเกือบจะเท่าอำเภอเมืองอยู่แล้ว อุทยานแห่งชาติตะรุเตา อยู่ห่างจากตัวเมืองสตูลประมาณ 40 กิโลเมตร และห่างจากฝั่งที่ท่าเทียบเรือปากบารา 22 กิโลเมตร ถือได้ว่าเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของประเทศไทย นับตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2517 เป็นต้นมา มีพื้นที่ทั้งเกาะและทะเลรวมกันประมาณ 1,490 ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วย 2 หมู่เกาะใหญ่ ได้แก่ หมู่เกาะตะรุเตา และหมู่เกาะอาดัง-ราวี ซึ่งใน 2 หมู่เกาะนี้ก็ยังมีเกาะใหญ่น้อยรวมกันอีก จำนวน 51 เกาะ นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2525 ให้เป็นมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Parks and Reserves) หมู่เกาะตะรุเตาเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมดำน้ำทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น ไม่ว่าจะดำผิวน้ำ (Snorkeling) และดำน้ำลึก (Scuba) ด้วยแรงบวกจากความสวยงามของธรรมชาติใต้ท้องทะเล ทั้งฝูงปลาหลากสายพันธุ์ หมู่มวลสัตว์ทะเลชนิดต่าง ๆ รวมทั้งดอกไม้ทะเล และปะการังสีสันต่าง ๆ ที่ปกติเราเคยเห็นแต่อยู่ในอแควเรียมหรือในหนังสารคดี แต่ ณ ที่แห่งนี้ อุทยานแห่งชาติตะรุเตาเราจะได้พบเห็นสิ่งเหล่านี้แบบตัวเป็น ๆ ฤดูกาลท่องเที่ยวที่เหมาะสมอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – เมษายน ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม เขาปิดอุทยานฯ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูมรสุมไม่เหมาะแก่การท่องเที่ยวและต้องการให้เหล่าปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลได้หยุดพักผ่อนบ้าง หลังจากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการต้อนรับพวกเราเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวกันมาหลายเดือน การดำน้ำดูปะการังนั้น ทางที่ดีควรศึกษาเรื่องน้ำขึ้นน้ำลงบ้างก็ดีครับ เคยได้ยินมาว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการดำน้ำอยู่ระหว่างขึ้น-แรม 7-9 ค่ำ เนื่องจากการขึ้นลงของน้ำกำลังพอดีไม่เร็วจนเกินไป
อ่าวพันเตมะละกา เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติตะรุเตา โดยส่วนหนึ่งจัดเป็นนิทรรศการแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเกาะตะรุเตา อ่าวพันเตมะละกา นอกจากจะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามแล้ว ยังสามารถเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวผาโต๊ะบู ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 60 เมตร ใช้เวลาเดินขึ้นจุดชมวิวประมาณ 20 นาที แต่ขึ้นไปถึงบนผาโต๊ะบู แล้วรับรองได้ว่าคุ้ม เพราะจะได้เห็นทิวทัศน์ของอ่าวพันเตมะละกา และเกาะต่าง ๆ เช่น เกาะบุโหลน เกาะไข่ เกาะอาดัง เกาะราวี หมู่เกาะเภตรา ได้อย่างเต็มตาอีกด้วย และหากเรานั่งเรือหางยาวไปตามคลองพันเตมะละกาสักประมาณ 15 นาที ซึ่งตลอดสองข้างทางแน่นขนัดไปด้วยไม้โกงกาง ธรรมชาติป่าชายเลน ก็จะพบกับถ้ำจระเข้ เป็นถ้ำที่มีความลึกประมาณ 300 เมตร ภายในมีหินงอกหินย้อยสวยงามที่มีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันไป การเที่ยวชมภายในถ้ำ ถ้าจะชมให้ทั่วควรใช้เวลาประมาณ 50 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
หมู่เกาะอาดัง–ราวี มีพื้นที่ประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร เป็นเกาะที่มีหาดทรายละเอียด ธรรมชาติสวยงามน่าประทับใจ นอกจากจะประกอบไปด้วยเกาะอาดัง และเกาะราวีแล้ว ยังมีเกาะน้อยใหญ่ตั้งอยู่รายรอบอีกหลายเกาะ เช่น เกาะหลีเป๊ะ เกาะดง เกาะหินงาม เกาะหินซ้อน เกาะจาบัง เกาะยาง เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นเกาะที่เหมาะสำหรับการดำผิวน้ำดูปะการังและนานาสรรพสิ่งใต้ท้องทะเล เกาะอาดัง คำว่า "อาดัง" มาจากภาษามลายูว่า "อุดัง" แปลว่า "กุ้ง" เนื่องจากว่าในอดีตบริเวณนี้เคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยกุ้งทะเล บนเกาะมีจุดชมวิว "ผาชะโด" ใช้เวลาเดินขึ้นไป 40 นาที เป็นลานโล่งมองลงไปจะเห็นทิวสนและแหลมทรายสีขาวของเกาะอาดัง ในอดีตผาชะโด เคยเป็นจุดสังเกตการณ์ของโจรสลัดเพื่อเข้าโจมตีเรือสินค้า แต่ทุกวันนี้กลายเป็นจุดชมและถ่ายรูปทัศนียภาพของเกาะอาดัง รวมทั้งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกอันสวยงาม
เกาะหลีเป๊ะ เป็นที่ตั้งของเหล่าบรรดารีสอร์ททั้งหลาย ที่พักบนเกาะหลีเป๊ะนี้ไม่หรูหราเหมือนกับทางภูเก็ต พังงา กระบี่ แต่เน้นอิงธรรมชาติมากกว่า ห้องพักมีให้เลือกทั้งห้องพัดลมและห้องแอร์ นักท่องเที่ยวบางคนหากไม่ซีเรียสว่าต้องนอนห้องแอร์บวกกับต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย เขาก็พักห้องพัดลมเพราะจะได้เสพกลิ่นอายบรรยากาศของธรรมชาติบนเกาะอย่างแท้จริง บนเกาะหลีเป๊ะนอกจากจะมีรีสอร์ทที่พักไว้บริการนักท่องเที่ยวแล้ว ยังมีชุมชนชาวเลอาศัยอยู่หลายครัวเรือน บางครอบครัวเป็นลูกหลานนามสกุล “หาญทะเล” ซึ่งเป็นนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จย่า ชาวบ้านมีอาชีพทำประมงกันเป็นส่วนใหญ่ และยังมีความเชื่อในแบบดั้งเดิมของหมู่ชาวเลด้วยกัน ทุก ๆ ปีในวันขึ้น 13-15 ค่ำ เดือน 6 และเดือน 12 ตลอด 3 วัน 3 คืน ชุมชนชาวเลจะช่วยกันต่อเรือด้วยไม้ระกำ เพื่อประกอบพิธีลอยเรือ เป็นความเชื่อว่าเป็นการเสี่ยงทายโชคชะตาในการประกอบอาชีพประมง
เกาะหลีเป๊ะ มีหาดสวยงามรายรอบเกาะ หาดทรายเม็ดละเอียดขาวเนียนเหมือนแป้ง “หาดพัทยา” เป็นโซนที่มีนักท่องเที่ยวแบบ Backpack อยู่จำนวนมาก และมีร้านสำหรับกิน-ดื่มเคล้าเสียงดนตรีในยามค่ำคืน หรือ Beach Bar อยู่หลายร้าน ชายหาดยาวโค้งเว้าเป็นรูปครึ่งวงกลม หาดขาวสะอาดตลอดแนว และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดของบรรดาเกาะทั้งหลายในทะเลสตูล ส่วน “หาดชาวเล หรือ หาดหน้าเกาะ” ตั้งอยู่บริเวณหน้าเกาะ เป็นชายหาดทอดยาวหลายร้อยเมตร มองเห็นหน้าเกาะอาดังซึ่งอยู่ห่างเพียง 800 เมตร ซึ่งทั้งสองหาดนี้สามารถเดินถึงกันได้โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที
|