ReadyPlanet.com
ละไม มิวสิค
ละไม ไทยแลนด์
ละไม วาไรตี้
ละไม ต่างแดน
เกี่ยวกับเรา
ติดต่อเรา




เมลเบิร์น ออสเตรเลีย article

          คราวก่อนผมนำท่านผู้อ่านไปเที่ยวยังเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียกันแล้ว คราวนี้ผมจะนำท่านเดินทางลงมาทางใต้เข้าสู่เขตพื้นที่ของรัฐวิคตอเรีย (Victoria) ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อ เมลเบิร์น (Melbourne)

 

          เมืองเมลเบิร์น เป็นเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เมื่อเทียบกับเมืองซิดนีย์ คือมีพื้นที่เพียง 6,100 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น แต่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างมา เรียกว่าเป็นอันดับสองรองลงมาจากซิดนีย์เลยก็ว่าได้ เป็นเมืองที่มีเสน่ห์มัดใจนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเมืองนี้ได้รับการขนานนามว่า เป็น “ Garden City “  มองไปทางไหนก็เห็นสีเขียว ๆ ของต้นไม้เต็มไปหมด และมีสวนสาธารณะอยู่หลายแห่ง ในตอนเช้าเราจะเห็นผู้คนออกมาวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกายอยู่ตามสวนสาธารณะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เมืองนี้มีอากาศดี สดชื่นแจ่มใส ไร้มลพิษ อีกทั้งเมืองนี้ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำยาร์ร่า จึงทำให้มีทิวทัศน์สวยงาม มองแล้วสบายตา

 

          ในอดีตเมืองเมลเบิร์น เคยมีฐานะเป็นเมืองหลวงเก่าของออสเตรเลียมาก่อน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1901 – 1927  แต่หากจะย้อนประวัติศาสตร์ไปก่อนหน้านั้น ก็เริ่มตั้งแต่สมัยก่อนที่ชาวยุโรปที่อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในออสเตรเลีย ส่วนใหญ่จะมาอาศัยอยู่ในเมืองซิดนีย์ ต่อมามีชาย 2 คน คือ นาย John Batman  และ นาย John Folkner   เห็นว่าเมืองซิดนีย์เริ่มหนาแน่นแออัดมากขึ้น ก็เลยชักชวนกันเดินทางลงมาทางใต้ เพื่อมาหาถิ่นที่อยู่ใหม่ เดินทางลงมาเรื่อย ๆ ก็มาพบแม่น้ำยาร์ร่า จึงถูกอกถูกใจกับพื้นที่บริเวณนี้ เนื่องจากมีแม่น้ำไหลผ่าน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีความอุดมสมบูรณ์ จึงได้จับจองบริเวณโดยรอบเป็นการใหญ่ แล้วตั้งชื่อเมืองว่า Port Phillip ตามชื่อของอ่าว เพราะแม่น้ำยาร์ร่านั้นไหลลงสู่อ่าว Port Phillip แล้วจากนั้นก็มีผู้คนมาจับจองปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่เพิ่มมากขึ้น จนขยายกลายเป็นเมืองใหญ่ ต่อมาก็ถึงยุคสมัยที่ Lord Melbourne มารับตำแหน่งเป็นอัครมหาเสนาบดีของอังกฤษ ท่านได้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือคนในเมืองนี้หลาย ๆ ด้าน ดังนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเมืองจาก Port Phillip มาเป็น เมืองเมลเบิร์น ในปี ค.ศ. 1842

 

 

 

          การเดินทางท่องเที่ยวในตัวเมืองนั้น สะดวกสบายมีให้เลือกหลายทาง ทั้งรถไฟ รถโดยสารประจำทาง (Bus) ซึ่งวิ่งรับส่งผู้โดยสารทั้งแบบรอบกลางวันและรอบกลางคืน ที่เรียกว่า Night Rider Bus วิ่งรับส่งตั้งแต่หลังเที่ยงคืนถึงตีสี่ เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์   ส่วนรถราง (City Tram Circle) วิ่งรอบตัวเมืองชั้นใน รถออกทุก  10 นาที จากถนน Flinders วิ่งรอบหนึ่งใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที หรือจะนั่งรถ Melbourne City Explorer จัดไว้สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ซื้อตั๋วครั้งเดียวเที่ยวได้ตลอดวัน

 

สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองที่น่าสนใจ

บ้านกัปตันคุ๊ก (Cook’s Cottage)

ในอดีตบ้านหลังนี้ ถูกสร้างเมื่อปี 1755 อยู่ในหมู่บ้านเกรท เอย์ตัน(Great Ayton) ประเทศอังกฤษ เดิมเป็นบ้านของบิดามารดาของกัปตันคุ๊ก  ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่ค้นพบทวีปออสเตรเลีย เมื่อ ค.ศ. 1770  ต่อมาท่านเซอร์ รัสเซล กริมเวด ได้ซื้อมาจากอังกฤษ โดยรื้ออิฐออกมาทีละก้อน แล้วถูกลำเลียงมาทางเรือ และมาประกอบใหม่ที่นี่ นำมาตั้งไว้ที่สวนฟิทซ์รอย (Fitzroy Gardens) เมื่อปี 1934 เพื่อเป็นของขวัญครบรอบหนึ่งร้อยปีของรัฐวิคตอเรีย และเพื่อเป็นการระลึกถึงการเดินทางค้นพบทวีปออสเตรเลียของกัปตันคุ๊ก ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านบางอย่างเป็นของดั้งเดิม บางอย่างก็เป็นของที่ทำเลียนแบบขึ้นมาใหม่ แล้วให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปชมภายในบ้านได้ ซึ่งมีเครื่องใช้ไม้สอยที่ทำด้วยไม้และโลหะ ที่แสดงถึงห้องครัวในสมัยนั้น เมื่อขึ้นบันไดไป ก็จะเห็นห้องซึ่งใช้เป็นทั้งห้องนอนและห้องนั่งเล่น เปลเด็กทำด้วยไม้โอ๊ค ตะเกียง เทียนไข ซึ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของสตรีในยุคอังกฤษโบราณที่ตอนกลางคืนต้องทอผ้า หรือปั่นด้ายไปด้วย ขณะเดียวกันก็ไกวเปลกล่อมลูกนอนไปด้วย

 

ส่วนสวนฟิทซ์รอย (Fitzroy Gardens) นั้นเป็นสวนสาธารณะไว้สำหรับให้ชาวเมืองมาออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ หรือบ้างก็จูงสุนัขมาเดินเล่น เป็นสวนเก่าแก่ บรรยากาศสไตล์อังกฤษยุควิคทอเรีย มีอายุกว่า 150 ปีมาแล้ว ภายในสวนร่มรื่นไปด้วยแมกไม้เขียวขจี ต้นไม้ใหญ่อายุเป็นร้อยปี สวนดอกไม้ น้ำพุ รูปปั้นแบบยุโรป หากเรามองจากมุมสูงจะเห็นว่าทางเดินในสวนแห่งนี้เป็นรูปยูเนี่ยนแจ๊ค ( Union Jack ) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธงชาติอังกฤษ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับประเทศอังกฤษ

 

ฟลินเดอร์ส สตรีท สเตชั่น ( Flinders Street Station )

ตั้งเด่นเป็นตระหง่านอยู่กลางเมือง นับได้ว่าเป็นสถานีรถไฟแห่งแรกออสเตรเลีย มีสถาปัตยกรรมคลาสสิค อายุร้อยกว่าปี มีความสำคัญเหมือนเป็นศูนย์กลางของสถานีรถไฟประจำเมือง คล้ายกับสถานีรถไฟหัวลำโพงของบ้านเรา

 

ตลาดควีน วิคตอเรีย( Queen Victoria Market )

ตลาดขนาดใหญ่ใจกลางเมือง มีทั้งส่วนที่เป็นตลาดสด ขายผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และตลาดขายของใช้ เสื้อผ้า รองเท้า ของที่ระลึก จัดโซนไว้อย่างเป็นระเบียบ และสะอาด  ที่สำคัญสินค้าราคาไม่แพง

 


 

พิพิธภัณฑ์แห่งเมืองเมลเบิร์น ( Melbourne Museum )

อาคารของพิพิธภัณฑ์มีสีสันโดดเด่นสะดุดตา มีลักษณะเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ใครที่นั่งรถผ่านก็อดถามไม่ได้ว่าที่นี่คืออะไร ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกใต้ อาคารแบ่งเป็น 6 ชั้น อยู่ใต้ดิน 3 ชั้น เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีรูปแบบทันสมัย เหมาะสำหรับเด็ก ๆ นักเรียน และนักศึกษาที่จะเข้ามาหาความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ภายในมีร้านค้า ร้านอาหารเครื่องดื่ม โรงภาพยนตร์ ICE ( Interactive Cinema Experience ) เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่โด่งดังไปทั่วโลก มีจอภาพขนาดใหญ่ ระบบเสียงรอบทิศทาง และทุกที่นั่งมีจอคอมพิวเตอร์ให้ผู้ชมได้แสดงความคิดเห็น ควบคุมการเดินเรื่อง เล่นเกมส์ต่าง ๆ ร่วมกัน  นอกจากนี้ ยังมีป่าไม้ซึ่งทำจำลองไว้เหมือนจริง มีสัตว์ต่าง ๆ กว่า 20 ประเภท ต้นไม้พันธุ์ต่าง ๆ กว่า 80,000 ชนิด

 

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ( Melbourne Aquarium )

ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยาร์ร่า ตรงข้ามกับ Crown Casino คาสิโนชื่อดังของเมืองนี้ พิพิธภัณฑ์นี้สร้างลึกลงไปใต้แม่น้ำยาร์ร่า โดยแยกประเภทของสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ ตามระดับความลึกของน้ำที่มันอาศัยอยู่ บนชั้นลอยมีสระหิน ซึ่งสามารถมองเห็นเหล่าปลาดาว ปูเสฉวน ถัดมาเป็นตู้โชว์ของแมงกะพรุนพันธุ์ต่าง ๆ มีปะการังนานาชนิดถูกจำลองไว้ในบ่อแสดง และยังมีโซนที่เป็นอุโมงค์ลึกลอดใต้ท้องน้ำ ให้ชมสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลมากมาย และผู้เข้าชมสามารถทดลองดำน้ำลงไปหยอกล้อกับปลาฉลามได้อีกด้วย โดยอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่อย่างปลอดภัย

 

          หากต้องการชมสีสันในยามค่ำคืนของเมืองนี้ ขอแนะนำให้ท่านขึ้นไปที่จุดชมวิวของตึก The Rialto Towers ตั้งอยู่ที่ถนนคอลลินส์ ซึ่งเป็น Melbourne Observation Deck ตึกนี้เป็น Office Building นับเป็นตึกที่สูงที่สุดของเมืองเมลเบิร์นและในแถบซีกโลกใต้ มีทั้งหมด 55 ชั้น มีความสูงประมาณ 253 เมตร มีหน้าต่างรวม 13,000 บาน  ท่านสามารถชมวิวรอบเมืองในมุมกว้างแบบ Panoramic view ถึง 360 องศา

 

          คราวนี้ผมจะพาท่านผู้อ่าน เดินทางออกจากตัวเมืองไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อไปที่เกาะฟิลลิป (Phillip Island) กันนะครับ เกาะนี้อยู่ห่างจากเมืองเมลเบิร์น 137 กิโลเมตร นั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมงครับ  อ้อ ! ส่วนการเดินทางข้ามจากฝั่งมายังเกาะ ไม่ต้องนั่งเรือครับ เพราะเขาสร้างสะพานทอดยาวไปถึงยังเกาะได้เลยครับ ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1940 โน่นแล้ว สะดวกสบายมากครับ และเพื่อไม่เป็นการเร่งรีบจนเกินไป เราควรออกจากตัวเมืองไม่เกินบ่ายสามโมง เพื่อมาถึงเกาะนี้ห้าโมงเย็น แล้วมารับประทานอาหารเย็นกันก่อน พอถึงเวลาจึงไปที่จุดชมนกเพนกวิน ซึ่งอยู่บริเวณชายหาด Summerland แต่ก่อนจะไปถึงชายหาด จากลานจอดรถ เราจะต้องเดินเข้าไปในตัวอาคารก่อน ภายในอาคารจัดแสดงคล้ายเป็นนิทรรศการนกเพนกวิน ซึ่งมีรูปภาพและเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับนกเพนกวิน ว่ามีกี่สายพันธุ์ ถิ่นอาศัยอยู่ในทวีปใดบ้าง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปศึกษาหาความรู้ได้ แล้วยังมีร้านขายของที่ระลึก ที่ทุกอย่างจะต้องมีสัญลักษณ์เป็นรูปนกเพนกวิน แต่สนนราคาแพงเอาการอยู่เหมือนกันครับ

    

 

          เกาะฟิลลิปแห่งนี้ มีชื่อเสียงในเรื่องการมาชมวิถีชีวิตของนกเพนกวินที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ ทุก ๆ เช้าพวกมันจะออกไปหากินในท้องทะเล พอตกเย็นราว ๆ หกโมง ถึงหกโมงครึ่ง (เวลาในเมลเบิร์น) แล้วแต่ฤดูกาล พวกมันก็จะเดินพาเหรดขึ้นมาจากทะเล แล้วเดินกลับเข้ามายังที่อยู่ของพวกมันบนฝั่ง นักท่องเที่ยวจะรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจกับการได้เห็นวิถีชีวิตและการเดินทางกลับมายังที่พักของมันโดยธรรมชาติ ไม่มีพี่เลี้ยงคอยสอนเหมือนในสวนสัตว์ เพราะนี่คือชีวิตประจำวันของพวกมันจริง ๆ  และนี่คือเสน่ห์ของการมาเที่ยวชมที่นี่

 

          นกเพนกวินบนเกาะนี้ เป็นพันธุ์ที่เล็กที่สุดในโลก เรียกว่า Fairly Penguin  น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัมเท่านั้นเองครับ น่าจับน่าอุ้มใช่มั้ยล่ะครับ แต่อย่าเชียวนะครับเพราะกฎเหล็กที่นักท่องเที่ยวต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือ ห้ามจับ หรือแตะต้องตัวนกเพนกวิน เพราะท่านอาจถูกกัดได้ เนื่องจากนกเพนกวินที่นี่มันไม่เชื่อง เพราะเขาไม่ได้เลี้ยง แต่ปล่อยให้พวกมันอยู่กันตามธรรมชาติ ถึงแม้เขาจะสร้างอาคาร สร้างสะพานสำหรับให้ผู้คนมาเดินชม แต่ก็จะไม่ให้ไปรุกล้ำเขตหรือเส้นทางที่เพนกวินเดินตามปกติของพวกมัน และกฎข้อห้ามที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ ห้ามถ่ายรูป, วิดีโอ หรืออะไรที่ต้องมีแสงแฟลช ทางเจ้าหน้าที่เขาจะมีถุงสีดำเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวใส่กล้องหรือวิดีโอ ก่อนเข้าไปชมเพนกวิน

ผมรับรองว่าใครที่ได้มาชมนกเพนกวินที่นี่ทุกคนจะมีความสุขและได้รับความประทับใจกลับไปทุกคน จนอดไม่ได้ที่จะต้องซื้อของที่ระลึกรูปนกเพนกวินติดไม้ติดมือกลับไปบ้างล่ะครับ 

          ก่อนจากกัน ผมขอนำท่านผู้อ่านเปลี่ยนเส้นทาง เดินทางไปบนถนนสายเกรท โอเชี่ยน โรด (Great Ocean Road)  ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเมลเบิร์น เพื่อไปยังเมือง Port Campbell เมืองท่าแห่งตำนานของสิบสองนักบุญในศาสนาคริสต์ ที่เราเรียกว่า Twelve Apostles ซึ่งประกอบไปด้วย 12 แนวโขดหินเหนือน้ำทะเล มีอายุประมาณ 20 ล้านปี เป็นความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำหลงใหลไปกับเสน่ห์ของเส้นทางสายนี้ จากจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นหินทั้ง 12 โขดหินที่โผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำทะเล นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในรัฐวิคตอเรีย

ข้อมูลเพิ่มเติม www.visitmelbourne.com

เรื่องโดย ละไมไทยแลนด์

 




ละไม ต่างแดน

10 อันดับ เมืองน่าอยู่อาศัยที่สุดในโลก
เวียนนา (Vienna) ออสเตรีย
Munich Germany
Madagascar’s Seven Wonders
สิงคโปร์ ( SINGAPORE )
เซิ่นเจิ้น (Shenzhen)
Pulau Langkawi
ลาว บ้านพี่ เมืองน้อง
Amsterdam
มาเลเซีย มนต์เสน่ห์ไม่เคยจางหาย
NEWYORK CITY
ท่องเมืองเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์
Visit Korea
ประเทศเกาหลีใต้ ตอนที่ 2
Downunder ดินแดนแห่งซีกโลกใต้
มาเก๊า MACAU
เวียดนาม ตอนที่ 2
กำแพงเมืองจีน
เวียดนาม
YOKOSO JAPAN
โสมเกาหลี