ReadyPlanet.com
ละไม มิวสิค
ละไม ไทยแลนด์
ละไม วาไรตี้
ละไม ต่างแดน
เกี่ยวกับเรา
ติดต่อเรา




ประเทศเกาหลีใต้ ตอนที่ 2

เกาหลีใต้ ตอน 2 เรื่องโดย   น.ส.กิมจิ

 

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านค่ะ เมื่อตอนที่แล้วดิฉันพาท่านผู้อ่านเที่ยวในกรุงโซลกันไปแล้ว คราวนี้ดิฉันจะพาท่านออกจากกรุงโซล ไปเที่ยวเมืองอื่นกันบ้าง เดินทางลงมายังตอนใต้ ห่างจากโซลประมาณ 60 กม. หรือราว 30-40 นาที ก็ถึงเมืองซูวอน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเคียงจิ “ซูวอน” นั้น หมายถึง ต้นกำเนิดของน้ำ เนื่องจากในซูวอน มีแหล่งน้ำและบ่อน้ำบาดาลอยู่จำนวนมาก สถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ก็ต้องยกให้ป้อมฮาวาซอง (Hawasong Fortress) มีอายุราวสองร้อยกว่าปีแล้ว ป้อมนี้มีลักษณะเป็นเหมือนกำแพงเมืองถูกสร้างรายรอบตัวเมืองซูวอน ระยะทางยาว 5,500 เมตร ประกอบไปด้วยเชิงเทิน 48 หลัง แต่บางส่วนก็ถูกทำลายไปบ้างในสมัยสงครามเกาหลี ป้อมนี้สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ซอนโจ กษัตริย์องค์ที่ 22 แห่งราชวงศ์โชซอนเพื่อเป็นที่ระลึกแด่พระราชบิดา ซึ่งถูกใส่ร้ายป้ายสีจากราชสำนักและถูกขังจนสิ้นพระชนม์ ปัจจุบันป้อมนี้ได้รับการสถาปนาโดยองค์การ UNESCO ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2540

 

ตลาดนัมมุน (Nummun Market) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซูวอน หากได้มาเมืองซูวอนหลังจากเที่ยวชมป้อมฮาวาซองแล้ว ก็ลองแวะมาช้อปปิ้งที่ตลาดแห่งนี้ได้ค่ะ มีสินค้าหลากชนิดจำหน่าย พวกเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ของฝาก ของที่ระลึก ราคาไม่แพง

 

หากพาเด็ก ๆ มาด้วย ก็ไม่ควรพลาดสวนสนุกเอเวอร์แลนด์ ซัมซุง (Everland Sumsung) ซึ่งเปรียบเสมือน ดิสนีย์แลนด์เกาหลี มีเครื่องเล่นมากมายไว้คอยบริการท่าน ล่องแก่ง เคเบิลคาร์ สวนสัตว์ซาฟารี และยังมีโซนสวนดอกไม้ ดอกกุหลาบ ดอกทิวลิป ฯลฯ จำนวนมาก ยิ่งถ้ามาเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้วล่ะก็ ถึงขั้นต้องเข้าคิวต่อแถวกันถ่ายรูปกับดอกไม้เลยทีเดียว

 

จากสวนสนุกเรามาเปลี่ยนบรรยากาศ ไปอาบน้ำแร่ธรรมชาติกันบ้างดีกว่าค่ะ ถ้าทริปแบบนี้ต้องยกให้เมืองซูอันโบ (Suanbo) จากสวนสนุกเอเวอร์แลนด์ ซัมซุง มาที่เมืองซูอันโบนี้ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30-2 ชั่วโมงค่ะ เมืองนี้อยู่ในจังหวัดชุนชงบุกโดทางตอนกลางของเกาหลี ตามโรงแรมต่างๆ ในเมืองนี้จะมีบริการอาบน้ำแร่ธรรมชาติอยู่ด้วย ห้องอาบน้ำแร่จะอยู่ชั้นใต้ดิน ค่าบริการอาบน้ำแร่ครั้งละประมาณ 2,000-4,000 วอน แต่ต้องเรียนให้ทราบก่อนนะคะว่า ที่นี่ผู้ที่จะอาบน้ำแร่ต้องแก้ผ้าออกหมดนะคะ ไม่มีการนุ่งผ้าเช็ดตัว ถ้าจะอาบน้ำแร่ที่เกาหลีคงต้องตัดความอายออกไปแล้วล่ะค่ะเพราะทุกคนในนั้นต้องแก้ผ้าหมด  หลังจากอาบน้ำแร่ธรรมชาติแล้วท่านจะรู้สึกผ่อนคลาย ตัวเบาสบาย

 

ส่วนห้องพักในโรงแรมนั้นก็มีหลายแบบ แต่ถ้าเป็นโรงแรมต่างเมืองห้องพักส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Korean Style คือนอนบนพื้น ไม่มีเตียงนอนให้ โดยใช้ผ้านวมผืนใหญ่ (โดยมากจะพับไว้อยู่ในตู้เสื้อผ้า) ปูนอน มีหมอน ผ้าห่มให้พร้อม

 

ห้องนอนในสไตล์เกาหลีดั้งเดิมนั้น จะมีเครื่องที่ใช้ทำความร้อน (Heater) อยู่ใต้พื้นห้อง เนื่องจากเวลาเข้าสู่ฤดูหนาวอากาศหนาวจัด ดังนั้นในห้องนอนจึงต้องมีเครื่องทำความร้อนช่วย ย้อนกลับไปในอดีต บ้านของชาวเกาหลีนั้นก็ต้องมี “อนโดล”  “อน” แปลว่า ความอบอุ่น ส่วน “โดล”แปลว่า ก้อนหิน คือเขาจะใช้ก้อนหินมากระจายความร้อนอยู่ใต้พื้นบ้านทำให้บ้านอบอุ่น อาศัยระบบกระจายความร้อนโดยสร้างท่อกลวงแบบปล่องไฟทอดขนานกับใต้พื้นห้อง ตั้งแต่เตาใหญ่ในครัวออกไปสู่ใต้พื้นห้องต่าง ๆ ท่อกลวงดังกล่าวด้านนอกเขาจะโบกปูนไว้ ด้านในก่อด้วยอิฐ และมีปล่องระบายควันต่อขึ้นไปบนหลังคา ส่งผลทำให้เกิดความอบอุ่นภายในบ้าน ชาวเกาหลีจึงนิยมนอนบนพื้นห้อง และมีผ้าปูนอนเรียกว่า “โย” และผ้าห่ม เรียกว่า “อีบูล”

 

ส่วนห้องพักโรงแรมในกรุงโซลนั้น ก็มีให้เลือกทั้งแบบ Korean Style และ Western Style คือมีทั้งแบบนอนบนพื้นสไตล์เกาหลี หรือนอนบนเตียงสไตล์ตะวันตกแบบโรงแรมมาตรฐานทั่วไป ไหน ๆ มาเที่ยวเกาหลีทั้งทีแล้ว ถ้าท่านไม่มีปัญหาเรื่องเจ็บข้อ ปวดเข่าล่ะก็ ดิฉันอยากแนะนำให้นอนแบบ Korean Style ดีกว่าค่ะ จะได้บรรยากาศเกาหลีแท้ ๆ

 

เอาล่ะค่ะปิดท้ายโปรแกรมเที่ยวในวันนี้ ก็ขอชวนท่านผู้อ่านไปเที่ยวถ้ำโคชู เป็นถ้ำหินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อหลายหมื่นปีมาแล้ว และเป็นถ้ำหินแกรนิตที่มีขนาดใหญ่ ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อย รูปทรงต่าง ๆ สวยงาม จนได้รับการขนานนามว่า “ปราสาทแห่งใต้พิภพ” ที่นี่เขาทำทางเดินไว้อย่างสะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยว แล้วมาต่อกันด้วยทริปล่องเรือที่ทะเลสาบชงจู ที่เมืองทันยาง ใช้เวลาในการล่องเรือ 40 นาทีถือว่าพอประมาณ ยังไม่ทันเบื่อ  การล่องเรือที่นี่ได้รับความนิยมมากเนื่องจากมีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม ทะเลสาบใสสะอาด ระหว่างล่องเรือชมภูเขา และหิน รูปร่างแปลกตาแล้วแต่จินตนาการ หินเหล่านี้เกิดขึ้นมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว นับเป็น หนึ่ง ใน แปดสิ่งมหัศจรรย์ของเมืองทันยางเลยก็ว่าได้

 

เมื่อพาท่านผู้อ่านท่องเที่ยวกันเรียบร้อยแล้ว คราวนี้มาพูดถึงเรื่องอาหารการกินกันบ้างดีกว่า อาหารเกาหลีที่ทุกคนรู้จักกันดีคืออาหารประเภทเนื้อย่าง หมูย่าง เรียกว่า พูลโกกิ  คำว่า “พูล” แปลว่า ไฟ ส่วน “โกกิ “ แปลว่าเนื้อ บางทีใช้เนื้อหมูติดกระดูก (คัลบี) กรรมวิธีในการหมักนั้น เขาใช้เนื้อคลุกซีอิ้วและน้ำมันงาปรุงรสเรียบร้อย ย่างบนเตา (บางร้านใช้เตาแก๊ส บางร้านใช้เตาถ่านแบบดั้งเดิม) ที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร เรียกได้ว่า เขาทำเตาย่างอยู่ตรงกลางโต๊ะเป็นส่วนหนึ่งของโต๊ะอาหาร เมื่อย่างจนสุกแล้วก็ใช้ตะเกียบคีบชื้นเนื้อจิ้มกับน้ำจิ้ม แล้วทานกับเครื่องเคียงซึ่งมีอยู่หลายอย่าง ผักต่าง ๆ  หัวกระเทียมสด  พริกสด น้ำซุปสาหร่าย ทุกอย่างจะใส่ในชามเล็ก ๆ โดยทั่วไปวิธีรับประทานของชาวเกาหลีเขาจะเอาเนื้อย่างที่สุกแล้วมาห่อกับผัก เช่นใบผักกาดหอม หรือใบงา แล้วตามด้วยหอม กระเทียม ถ้าชอบรสเผ็ดก็ทานกับพริกด้วยก็ได้ อาจจะหลายขั้นตอนไปหน่อยแต่ทานแล้วอร่อยไม่ผิดหวังเลยค่ะ บนโต๊ะอาหารนั้นจะดูค่อนข้างวุ่นวายเพราะส่วนตรงกลางของโต๊ะอาหารก็เป็นเตาย่าง และรอบ ๆ โต๊ะก็จะเต็มไปด้วยถ้วยชามเล็ก ๆ ที่ใส่เครื่องเคียง และถ้วยชามข้าว ช้อน ตะเกียบ ของแต่ละคน

 

ตามประเพณีแล้ว อาหารจะไม่เสริฟทีละจาน แต่อาหารทั้งหมดจะถูกวางบนโต๊ะพร้อมกันทั้งหมด แล้วทานพร้อมกันไม่ทานทีละอย่าง ลักษณะการเสริฟอาหารแบบนี้ เรียกว่า ฮันจองชิก

 

ชามข้าวของชาวเกาหลีจะมีฝาปิด ส่วนตะเกียบก็จะทำด้วยสแตนเลส เนื่องจากทนทานและที่สำคัญไม่เป็นเชื้อรา มักไม่ใช้ตะเกียบไม้ ข้าวที่ชาวเกาหลีรับประทานกันจะมีลักษณะเหนียว แฉะ เหมือนกับทางญี่ปุ่น โดยทั่วไปเวลารับประทานอาหารชาวเกาหลีจะไม่ยกชามข้าวขึ้นเหมือนคนจีน ชามข้าวต้องวางอยู่บนโต๊ะอาหาร แล้วใช้มือเดียวรับประทาน เช่น มือขวาใช้ช้อนตักน้ำซุปแล้ววางช้อนลง เอามือขวานั้นแหละคีบตะเกียบ คือจะไม่ใช้สองมือ

 

เกาหลีปลูกข้าวได้ปีละหนึ่งครั้ง จะเก็บเกี่ยวในเดือนตุลาคมซึ่งอยู่ในระหว่างฤดูใบไม้ร่วง พอถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงเขาจะดองกิมจิเก็บไว้สำหรับทานในช่วงฤดูหนาวอันยาวนาน ในสมัยก่อนกิมจิ จะถูกเก็บไว้ใต้ดินเพื่อรักษารสชาติ แต่ปัจจุบันมีบ้านเป็นลักษณะอพาร์ตเม้นต์เกิดขึ้นจำนวนมาก ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในเกาหลีจึงคิดสร้างช่องในตู้เย็นไว้สำหรับเก็บกิมจิโดยเฉพาะ กิมจิ ทำมาจากผักได้หลายชนิด แต่ที่นิยมกันมากเห็นจะเป็นผักกาดขาว หัวไชเท้า และต้นหอม โดยจะแช่ผักไว้ในน้ำเกลือแล้วล้างออก พอน้ำแห้งเล็กน้อย ปรุงและหมักด้วยเครื่องเทศประเภทพริก ผักเหล่านั้นก็จะมีรสชาติเข้มข้นได้ที่ กิมจิ มีแคลลอรีและคอลเรสเตอรอลในปริมาณที่ต่ำ แต่ให้เส้นใยอาหารสูงมาก มีวิตามินมากกว่าผลไม้บางชนิด จนมีคำกล่าวว่า “กินกิมจิวันละนิด ไม่ต้องคิดพึ่งหมด”  ดังนั้นชาวเกาหลีจึงทานกิมจิเป็นเครื่องเคียงเกือบทุกมื้อ อาหารพื้นเมืองหากขาดกิมจิก็เหมือนไม่ครบสูตร

 

ส่วนเรื่องการบำรุงสุขภาพ ชาวเกาหลีจะรับประทานโสม (Ginseng) ซึ่งเป็นพืชสมุนไพร ในทางตำราแพทย์จีนแผนโบราณกล่าวว่า โสมนั้นมีคุณสมบัติ รักษาโรคได้หลายอย่าง และช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง บำรุงสมอง บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ถือเป็นยาอายุวัฒนะของมนุษย์เลยทีเดียว และยังช่วยให้ร่างกาย อบอุ่น มีพลังงาน ซึ่งเหมาะกับประเทศที่มีอากาศหนาว ในประเทศเกาหลีมีการปลูกโสมกันอย่างแพร่หลาย นำรากโสมมาสกัดให้อยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น รากโสมแช่ในน้ำผึ้ง บรรจุเป็นเม็ดแคปซูล  บรรจุขวด  บรรจุซอง เพื่อให้สะดวกซื้อและรับประทานง่าย และยังส่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญไปยังประเทศจีนและญี่ปุ่นอีกด้วย

 

ส่วนเรื่องการแต่งกาย ชุดพื้นเมืองชาวเกาหลี เรียกว่า ฮันบก มักสวมใส่ในโอกาสพิเศษ เช่น วันงานเทศกาล ประเพณีต่าง ๆ งานฉลองอายุครบ 60 ปี(แซยิด) ของครอบครัว เป็นต้น แต่หลังจากที่เกาหลีเปลี่ยนเป็นประเทศอุตสาหกรรม ชุดฮันบก ก็เสื่อมความนิยมลง กลายเป็นแฟชั่นเครืองแต่งกายแบบชาวตะวันตกเข้ามาแทนที่

 

          ขอบขอคุณท่านผู้อ่านที่อยู่เป็นเพื่อนกันจนถึงบรรทัดสุดท้าย หวังว่าท่านคงจะได้รับประโยชน์จากข้อมูลนี้บ้างไม่มากก็น้อย หากท่านต้องการเดินทางไปเยือนประเทศเกาหลี สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติเกาหลีได้ หรือ เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.tour2korea.com



ละไม ต่างแดน

10 อันดับ เมืองน่าอยู่อาศัยที่สุดในโลก
เมลเบิร์น ออสเตรเลีย article
เวียนนา (Vienna) ออสเตรีย
Munich Germany
Madagascar’s Seven Wonders
สิงคโปร์ ( SINGAPORE )
เซิ่นเจิ้น (Shenzhen)
Pulau Langkawi
ลาว บ้านพี่ เมืองน้อง
Amsterdam
มาเลเซีย มนต์เสน่ห์ไม่เคยจางหาย
NEWYORK CITY
ท่องเมืองเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์
Visit Korea
Downunder ดินแดนแห่งซีกโลกใต้
มาเก๊า MACAU
เวียดนาม ตอนที่ 2
กำแพงเมืองจีน
เวียดนาม
YOKOSO JAPAN
โสมเกาหลี